ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ส.อ.ท.จี้นายกฯ อุ้ม SMEs แก้สินค้าทุ่มตลาด-ลดต้นทุนพลังงาน

เศรษฐกิจ
15:54
59
ส.อ.ท.จี้นายกฯ อุ้ม SMEs แก้สินค้าทุ่มตลาด-ลดต้นทุนพลังงาน
อ่านให้ฟัง
08:29อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ส.อ.ท.เสนอรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาด หวั่นกระทบ SMEs พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือ เข้าถึงแหล่งเงินทุน และลดต้นทุนราคาพลังงานเพื่อบรรเทาภาระให้กับผู้ประกอบการ

วันนี้ (15 ก.ย.2568) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า ได้สะท้อนในหลายเรื่องโดยเฉพาะการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ยังต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะในรายละเอียดเรื่องการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น (Local Content) ว่าจะใช้มาตรฐานใด รวมถึงอุตสาหกรรมใดที่ทำได้ และอุตสาหกรรมใดที่ทำไม่ได้ จะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร 

ทั้งนี้ เรื่อง Local Content เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งไหลของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาด ซึ่งไทยโดนมากที่สุด และกระทบกับเอสเอ็มอี (SMEs) จำนวนมาก 

หากสถานการณ์ยังดำเนินการต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจาก 24 กลุ่ม เป็น 30 กลุ่ม แต่มั่นใจว่านายกฯ น่าจะเข้าใจดี
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ประธาน ส.อ.ท.กล่าวอีกว่า ด้านการลดต้นทุนพลังงานให้กับผู้ประกอบการและประชาชน ซึ่งวันนี้ผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนราคาพลังงานที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะต้องลดราคาพลังงานลงให้ได้ รวมถึงเอสเอ็มอี ที่ปัจจุบันเปราะบางที่สุด และมีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนนั้น ต้องการให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เช่น การดำเนินการลดหนี้ หรือแฮร์คัท การขยายวงเงินให้เอสเอ็มอีมากขึ้นหรือไม่ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้เร็ว รวมถึงหน่วยงานเอสเอ็มอีจะต้องบูรณาการให้ทุน สนับสนุนทุน ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบกับเอสเอ็มอีได้ค่อนข้างมากเนื่องจากปัจจุบันหนี้ครัวเรือนสูงมาก และเป็นปัญหาใหญ่ที่กดทับกำลังซื้อ

"ถึงเวลาที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง สร้างพายุหมุนจริง คือ Made in Thailand เนื่องจากปัจจุบันหลายประเทศใช้นโยบายกีดกันทางการค้า ช่วยคนในประเทศเป็นหลัก บางประเทศมีเงินสนับสนุนการส่งออก ดังนั้น วันนี้ สิ่งที่ไทยจะต้องทำ คือ การจัดซื้อจัดจ้างด้วย Made in Thailand"

นายเกรียงไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องการให้รัฐบาลเร่งผลักดันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอย่าเน้นที่ถูกสุด เพราะหากเน้นที่ถูกสุด ภาคเอกชนไทยอาจแข่งขันไม่ได้ ขณะเดียวกัน ภาครัฐจะได้สินค้าถูกแต่คุณภาพไม่ดี และเงินก็จะไหลออกไปยังต่างประเทศ 

ส่วนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่าปัจจุบันไทยถูกสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2568 แต่จะมีการเรียกภาษีอยู่ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 สำหรับการเรียกเก็บภาษีอัตราที่ 19% ใช้กับสินค้าที่ตกอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้โดยรวมยกเว้นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีกรอบกฎเกณฑ์ต่างหาก สำหรับกรณีที่ 2 เรียกเก็บภาษีอัตราที่ 40% จะบังคับใช้เมื่อสินค้าถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม หรือมีกรณี transshipment โดยสินค้าในกรณีนี้จะต้องผ่านการตรวจสอบและพิสูจน์โดย U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก่อน และหากพบว่ามีการสวมสิทธิ์จริงจะถูกเรียกเก็บอัตรานี้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ที่ชัดเจน ภาครัฐจึงต้องติดตามแนวปฏิบัติของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ทัน

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) เพื่อปรับซัพพลายเชน (Supply Chain) ของไทยให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)

ขณะที่ นายเวทิต โชควัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ได้สะท้อนปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า การแก้ไขปัญหาด่านศุลกากร รวมถึงการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อสร้างความชัดเจนในกฎระเบียบการค้าชายแดน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับระยะเร่งด่วน ควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการ ผ่านการเสริมช่องทางโลจิสติกส์เดิม การเพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด และการพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใน Supply Chain ได้ในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมทั้งการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องขนส่งในช่วงที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้ง โดยขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้

สำหรับระยะสั้น เสนอแนะให้พิจารณา Soft Loan ให้ผู้ประกอบการเพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หรือผู้ที่มีหลักฐานการค้าขายต่อเนื่องกับกัมพูชา เพิ่มเติมจากมาตรการที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ออกมา รวมทั้งขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในไทยสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากกัมพูชา

ในส่วนของมาตรการระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค

อ่านข่าว :

"อนุทิน" ทูลเกล้าฯ ครม.สัปดาห์นี้ จ่อสอบส่งออกทองไปกัมพูชา

จี้รัฐ-แบงก์ชาติ แก้บาทแข็ง สมาคมอาหารแห่งอนาคต หวั่นฉุดส่งออก-เสียตลาด

กรมพัฒน์ฯ ร่วมตำรวจปราบบัญชีม้า พบนิติบุคคลเข้าข่ายฟอกเงิน 1,415 ราย