ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ชะตากรรม "ข้าวไทย" เผชิญคู่แข่งรอบด้าน ชาวนาจะรอดอย่างไร

เศรษฐกิจ
15:34
77
ชะตากรรม "ข้าวไทย" เผชิญคู่แข่งรอบด้าน ชาวนาจะรอดอย่างไร
อ่านให้ฟัง
22:57อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

เกษตรกรใจหล่นวูบ เมื่อราคาข้าวเปลือกที่ขายออกอยู่ที่ตันละ 4,000-6,000 บาท หากเปรียบเทียบกับการผลิตก่อนหน้านั้นที่เฉลี่ยอยู่ตันละ 7,000-8,000 บาท กล่าวง่าย ๆ คือ เงินที่ควรจะได้รับเต็ม ๆ หลังหักลดต้นทุนแล้ว หล่นหายเกือบ 2,000 บาท ทำเอากระดูกสันหลังชาติ ต้องโอดครวญ เมื่อราคาข้าวในประเทศตกต่ำ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...มีคำถามว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ 

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ปัญหายังลามถึงการส่งออกข้าวไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าส่งออกได้เพียง 5.80 ล้านตัน หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ถึง 7.54 ล้านตัน หายไปถึง 23% จากปัจจัยลบ ทั้งค่าเงินบาทที่ผันผวน ราคาข้าวไทยที่สูงกว่าคู่แข่ง อินเดียกลับมาส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น ส่วนผู้นำเข้าหลักได้ชะลอการนำเข้า ไม่ร่วมปัจจัยลบจิปาถะรายทางอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกข้าวและเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยสถานการณ์ส่งออกข้าวไทย ว่า ผลผลิตข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 อยู่ที่ 24 ล้านตันข้าวเปลือก โดยไทยส่งออกข้าวข้อมูลถึงวันที่ 27 ต.ค. 2568 ส่งออกได้ในปริมาณ 6.4 ล้านตัน ลดลง 22%

สาเหตุหลักๆ เกิดจากการส่งออกข้าวขาวลดลงและอินเดียเริ่มระบายสต็อก ผลผลิตข้าวทั่วโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศผู้ซื้อสำคัญ เช่น อินโดนีเซีย  ฟิลิปปินส์ ต่างชะลอการนำเข้า ราคาข้าวขาวในประเทศจึงได้รับผลกระทบไปด้วยในทางกลับกัน พระเอกของการส่งออกปีนี้ คือ ข้าวหอมมะลิ ที่ยังสามารถส่งออกได้รวมกว่า 1.49 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยประเทศผู้นำเข้าสูงสุด คือ สหรัฐ รองลงมา ฮ่องกง และแคนนาดา

ไทยเสียแชมป์ "9 เดือน" เวียดนามนำโด่ง "ส่งออกข้าว"

นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว กล่าวอีกว่า ผู้ส่งออกคาดว่าปีนี้ ภาพรวมการส่งออกข้าวไทยจะสูงกว่าเป้าหมายที่ 7.5 ล้านตัน มีโอกาสขยับขึ้นไปเกือบ 8 ล้านตันได้ แต่ไทยจะหลุดเบอร์ 2 ของการส่งออกข้าวโลกให้กับเวียดนาม เพราะแค่ 9 เดือนเวียดนามส่งออกไปแล้ว 6.82 ล้านตัน

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ขณะที่ไทยส่งออกได้เพียง 5.80 ล้านตันเท่านั้นลดลงถึง 23.1% ขณะที่อินเดียยังคงครองแชมป์ส่งข้าว คาดว่าน่าจะมีปริมาณสูงถึง 16 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 35% ส่วนการส่งออกข้าวปี 2569 สมาคมฯ ยังคงตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้เท่าเดิม 7.5 ล้านตัน แบ่งเป็น ข้าวขาว 5% ปริมาณ 3.5 ล้านตัน ข้าวนึ่ง ปริมาณ 1.4 ล้านตัน ข้าวหอมมะลิรวมปลายข้าวหอม ปริมาณ 1.7 ล้านตัน (เฉพาะข้าวหอมมะล ปริมาณ 1.3 ล้านตัน) ข้าวหอมไทย ปริมาณ 0.6 ล้านตัน และข้าวเหนียว ปริมาณ 0.3 ล้านตัน

ทุกประเทศพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดไปแล้ว แต่ไทยยังขาดระบบบริหารจัดการแบบต่างคนต่างทำ ตลอดหลาย 10 ปี รัฐบาลใช้เงินปีละกว่า 1 แสนล้านบาท ไม่ตอบโจทย์การดูแลอุตสาหกรรมการในระยะยาว ควรใช้เงินส่งเสริมโครงการเสริมศักยภาพการผลิต เช่น ระบบน้ำ และการเพาะปลูก ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อวางแผนตลาดให้ทันกติกาการค้าโลก รัฐบาล ควรเข้ามาเป็นเจ้าภาพหลัก รวมไปถึงการดูแลต้นทุนการเพาะปลูก และการขนส่ง รวมทั้งค่าเงินบาท ที่ผันผวนแข่งขันได้ยาก ซึ่งการออกมาตรการอุดหนุนราคา

ดัน "หอมมะลิไทย" ชูโรง "ตลาดโลก" ต้องการสูง

ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่าการแข่งขันในปีหน้าเรียกได้ว่ามีแต่ปัจจัยเสี่ยง ทั้งค่าเงินที่ผันผวน อินเดียเตรียมระบายสต็อกข้าวเกือบ 20 ล้านตันออกมา ประเทศผู้นำเข้าหลักชะลอการนำเข้า ดังนั้นคาดว่า ในปี 2569 ไทยจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยตัวเด่นปีหน้า ยังเป็น “ข้าวหอมมะลิ” เพราะไทยยังมีตลาด สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของไทยและยังไม่ซื้อข้าวจากประเทศเวียดนามซึ่งก็หวังว่าไทยจะยังคงตลาดนี้ไว้ได้

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ส่วนข้าวขาวปีหน้ายังคงเป็นปัจจัยลบที่ทำให้การขายข้าวยังลำบากอยู่ เพราะมีคู่แข่ง ทั้งปากีสถาน เมียนมา เวียดนาม รวมทั้งกัมพูชา โดยเฉพาะอินดีย หากมีการระบายข้าว 20 ล้านตันออกมาในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด คาดว่า 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันก็จะทำให้มีแรงจูงใจหลายประเทศจะหันสนใจที่จะซื้อ

อย่างไรก็ตามอนาคตไทยควรปลูกข้าวให้น้อยลงหันไปทำพืชเกษตรตัวอื่นที่มีรายได้ดีกว่าและในอนาคตก็อาจจะส่งออกแค่เฉพาะข้าวหอม ไม่จำเป็นจะต้องส่ง 8-9 ล้านตัน อาจจะส่งแค่ 4-5 ล้านตันเน้นไปที่ข้าวคุณภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุมธานี และข้าวเหนียว แต่ทั้งนี้คงไม่ใช่ง่ายที่จะโน้มน้าวให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น เนื่องจากอย่างเกษตรกรปลูกไว้รับประทานเองด้วย ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง และมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายสามารถแข่งขันและรองรับความต้องการของตลาดได้

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย /นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย  และนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ประชุมหารือผลผลิตข้าวนาปี68/69

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย /นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ประชุมหารือผลผลิตข้าวนาปี68/69

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย /นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ประชุมหารือผลผลิตข้าวนาปี68/69

"บาทอ่อน" ขายข้าว 1 ตัน "เงินหาย" เกวียนละพันบาท

นายวันนิวัต กิติเรียงลาภ รองเลขาธิการสมาคมส่งออกข้าวไทย กล่าวถึง สถานการณ์ตั้งแต่ต้นปี 2568 เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น กว่า 7% ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญ เช่น อินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน ต่างมีค่าเงินอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับคู่แข่งสูงถึง 10% ทำให้ไทยขายของได้ยาก เนื่องจากแพงกว่าคู่แข่งเป็นการเสียเปรียบในด้านราคาและทำให้ส่วนต่างค่าเงินเมื่อเทียบกับไทย เช่น อินเดีย ต่างกันถึง 10.8% ,เวียดนาม 11.3% และปากีสถาน 9.5% เป็นต้น

หากผู้ส่งออกไทย อินเดีย เวียดนามและปากีสถาน ต่างขายข้าว 5% ในราคาเอฟโอบี 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเท่ากัน เมื่อนำมาคำนวณเป็นเงินบาท จะได้เงิน 11,025 บาท ขณะที่ประเทศคู่แข่งได้เปรียบเงินอ่อนกว่าก็จะได้รับเงินกลับประเทศมากกว่าไทยถึง 1,000-1,250 บาทต่อตัน

นั้นหมายความว่าทั้ง ผู้ส่งออกข้าว โรงสี และเกษตรกร จะได้รับเงินรายได้น้อยกว่าประเทศคู่แข่งขันทันทีจากค่าเงินบาทแข็ง ไม่ใช่เพราะราคาข้าวต่ำกว่า แต่เป็นเพราะความเสียเปรียบด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรง และผู้ที่จะสามารถควบคุมค่าเงินบาทได้ คือ รัฐบาล จึงอยากให้เกษตรกรให้เข้าใจตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ผู้ส่งออกพูดถึงค่าเงินบาท ไม่ว่าจะอ่อนหรือแข็งค่าขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ขอให้คำนึงว่าล้วนมีผลกระทบกับรายได้ของชาวนาเช่นกัน

 

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30-31 ต.ค.ที่ผ่านมา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จัดประชุมประเมินภาวะการณ์ผลิตและการค้าข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2568/69 ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการพบปะหารือกับสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยและศูนย์ข้าวชุมชน 14 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และสมาคมโรงสีข้าวไทย และสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อประเมินผลผลิต ปัญหาและอุปสรรคการค้าขายที่สำคัญ และในปี 2569 เพื่อให้ทุกฝ่ายรับมือผลกระทบรอบด้าน

บุกตลาดใหม่-รักษาฐานเดิม กระตุ้นส่งออก

ขณะที่นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า เพื่อรักษาฐานตลาดข้าวเดิม ทั้ง จีน ฮ่องกง และญี่ปุ่น และบุกตลาดใหม่ ที่มีความต้องการและมีศักยภาพโดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น อิรัก ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งสอดรับแผนส่งเสริมข้าวไทยในเดือนพ.ย. 2568 ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงสินค้านานาชาติ China International Import Expo (CIIE) 2025 ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 1 – 11 พ.ย. 2568 ที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชน เพื่อส่งเสริมการนำเข้าและเป็นเวทีเจรจาธุรกิจระหว่างจีนและประเทศต่างๆ เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

ปัจจุบันจีนเป็นตลาดนำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลก แต่ละปีนำเข้าประมาณ 1 – 6 ล้านตัน ขณะที่ไทยส่งออกข้าวไปจีนประมาณ 440,000 – 750,000 ตัน/ปี ครองส่วนแบ่งการนำเข้าข้าวของจีนร้อยละ 23 รองจากเมียนมา และเวียดนาม สำหรับชนิดข้าวไทยที่ส่งไปจีนส่วนใหญ่เป็นข้าวขาว ข้าวหอมมะลิไทย และข้าวเหนียว

โดยเฉพาะในงานแสดงสินค้า Foodex Saudi 2025 ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 2 – 7 พ.ย. 2568 เมืองเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสสู่ตลาดซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เนื่องจากเป็นประเทศที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ซึ่งในแต่ละปีความต้องการข้าวอยู่ที่ 1.7 ล้านตัน ขณะที่นำเข้าประมาณ 1.8 ล้านตัน/ปี

ไทยส่งออกข้าวไปซาอุดีอาระเบียประมาณ 14,000 – 30,000 ตัน/ปี ครองส่วนแบ่งปริมาณการนำเข้าข้าวของซาอุดีอาระเบีย 12% รองจากอินเดีย สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และเวียดนาม สำหรับชนิดข้าวไทยที่ส่งออกไปซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่เป็น ข้าวหอมมะลิไทย รองลงมา ได้แก่ ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวอีกว่า ในช่วงวันที่ 17-20 พ.ย.นี้ กรมฯจะนำคณะผู้นำเข้าข้าวฮ่องกงเดินทางเยือนประเทศไทย ที่กรุงเทพมหานคร จ.นครศรีธรรมราช และจ.พัทลุง เพื่อศึกษาดูงานด้านการผลิตและการแปรรูปข้าวทางภาคใต้ของไทย และเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าข้าวฮ่องกง และสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญของโลก

ทั้งนี้ข้าวไทยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดข้าวเป็นอันดับ 1 ในฮ่องกงมาอย่างยาวนาน โดยไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของตลาดฮ่องกง ครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวของฮ่องกงประมาณ 60% ของปริมาณการนำเข้าข้าวของฮ่องกงที่นำเข้าปีละประมาณ 275,000 – 307,000 ตัน สำหรับชนิดข้าวไทยที่ส่งไปฮ่องกงประมาณ 80% เป็นข้าวหอมมะลิไทย

"Think Rice Think Thailand" รักษาฐานผู้บริโภค

สำหรับเทศกาลข้าวส่งท้ายปี 2568 คืองาน Thai SELECT Festival 2025 ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 28 – 30 พ.ย. 2568 ที่ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และร้านอาหาร Thai SELECT หรือแนวคิด 5F ได้แก่ Food (อาหารและเครื่องดื่ม) Fight (ศิลปะมวยไทย) Festival (ศิลปวัฒนธรรมไทย) Film (ภาพยนตร์ไทยที่เน้นวัฒนธรรมไทยและวัตถุดิบอาหารไทย) และ Fashion (แฟชั่นโชว์ชุดผ้าไทย)

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของภูมิภาคตะวันออกกลาง มีเมืองดูไบเป็นท่าขนถ่ายสินค้าหลัก และเป็น Re-exporter รายใหญ่ของโลกที่ส่งสินค้าต่อไปยังประเทศต่างๆ ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวอีกว่า จีนและฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกข้าวของไทยมาอย่างยาวนาน สำหรับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าข้าวไทย  ดังนั้น กิจกรรมดังกล่าวมั่นใจว่า จะช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของข้าวไทย ให้ผู้บริโภคข้าวในจีน ฮ่องกง ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ เมื่อนึกถึงข้าวไทย หรือ “Think Rice Think Thailand” ซึ่งจะช่วยรักษาและขยายส่วนแบ่งตลาดข้าวและกระตุ้นการส่งออกข้าวไทยไปยัง 4 ตลาดให้เพิ่มขึ้น และส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยในปี 2568 เป็นไปตามเป้าหมาย 7.5 ล้านตัน และสามารถติดตลาดอย่างต่อเนื่องในระยะยาวตามนโยบายของรัฐบาล

เร่งช่วยชาวนา เปิดโรงสีรับซื้อข้าวนาปี2568/69

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ "ข้าว" ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ กรมฯติดตามและขับเคลื่อนมาตรการโครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ เพื่อรองรับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน

สำหรับปีการผลิต 2568/69 ในฤดูกาลนาปีคาดว่าทั่วประเทศจะมีผลผลิตรวมกว่า 26.99 ล้านตัน ซึ่งจ.อุบลราชธานีเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะพันธุ์ "ข้าวดอกมะลิ 105" ซึ่งเป็นข้าวคุณภาพสูงที่เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูก โดยในช่วงนี้ผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดและจะออกมากในช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้

โดยที่ผ่านมา กรมฯได้เริ่มดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยได้มีการพิจารณาคุณสมบัติของโรงสีที่เข้าสมัครมาทั้งหมดและให้เริ่มรับซื้อตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มเร็วกว่าปีก่อน เพื่อให้ผู้ประกอบการและโรงสีสามารถรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรได้ทันก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด

โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา 3% เป็นระยะเวลา 2–6 เดือน เพื่อสนับ สนุนให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องในการกู้เงินจากสถาบันการเงินมารับซื้อและเก็บสต็อกข้าว

ปีนี้มีผู้ประกอบการโรงสีให้ความสนใจเข้าร่วมมากถึง 217 ราย จาก 44 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเป้าหมายดูดซับข้าวเปลือกกว่า 4 ล้านตัน เพื่อชะลอการจำหน่ายผลผลิตออกตลาดในช่วงต้นฤดูกาล และช่วยสร้างเสถียรภาพราคาข้าวอย่างยั่งยืน

ด้าน นายอานุภาพ ภรณ์พิริยะนิยม อุปนายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า โครงการชดเชยดอกเบี้ยช่วยเสริมกำลังให้ผู้ประกอบการโรงสีสามารถรับซื้อข้าวจากเกษตรกรได้มากขึ้น เพื่อช่วยชะลอผลผลิตข้าวเปลือกไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ลดผลกระทบต่อราคาทั้งข้าวเปลือกและข้าวสาร การมีโครงการชดเชยดอกเบี้ยช่วยให้โรงสีสามารถบริหารสต็อกได้ดีขึ้น เกษตรกรขายได้ในราคาที่เหมาะสม และทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ 2569 อนาคตข้าวไทยยังน่าวิตก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินสถานการณ์ราคาข้าวไทยว่า ปี 2568 เป็นปีที่ราคาข้าวไทยหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปี จากแรงกดดันด้านผลผลิตที่พุ่งสูงและอินเดียเร่งยอดส่งออกข้าว ราคาข้าวไทยในปี 2568 คาดหดตัวลึกถึง 10.9% ไปเฉลี่ยอยู่ที่ 11,175 บาทต่อตัน

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย หารือกับ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ศูนย์ข้าวชุมชน 14 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และสมาคมโรงสีข้าวไทย และสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อประเมินผลผลิตการณ์ผลิตและการค้าข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2568/69

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย หารือกับ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ศูนย์ข้าวชุมชน 14 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และสมาคมโรงสีข้าวไทย และสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อประเมินผลผลิตการณ์ผลิตและการค้าข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2568/69

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย หารือกับ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ศูนย์ข้าวชุมชน 14 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และสมาคมโรงสีข้าวไทย และสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อประเมินผลผลิตการณ์ผลิตและการค้าข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2568/69

หลังจากในช่วงปี 2565-2567 มีราคาเติบโตดีเฉลี่ยถึง 6.4% ต่อปี ทั้งนี้ ปัจจัยฉุดราคาที่สำคัญมาจากผลผลิตข้าวในระดับสูง ด้วยสภาพอากาศที่เป็นปรากฏการณ์ลานีญาเอื้อต่อการผลิต

โดยไทยมีผลผลิตข้าวพุ่งแตะ 35.8 ล้านตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ถึง 1.11 เท่า สอดคล้องไปกับผลผลิตข้าวโลกที่เพิ่มขึ้น 3.3% ดันสต็อกข้าวโลกเพิ่ม 5% และมีอุปทานส่วนเกินโลกสูงถึง 8.98 ล้านตัน

นอกจากนี้ อินเดียยังได้เร่งส่งออกข้าวเพิ่มกว่า 34.2% จากแรงหนุนด้านผลผลิตในประเทศที่สูงถึง 150 ล้านตัน ฉุดราคาข้าวโลกให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งฟิลิปปินส์ยังได้สั่งงดนำเข้าข้าวตั้งแต่เดือนก.ย. 2568 ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกและราคาข้าวไทยปรับลดลง

ดังนั้นคาดการณ์ราคาข้าวน่าจะปรับลดลงถึงไตรมาสแรกปี 2569 ที่ 0.9% จากผลผลิตที่ยังสูงและความต้องการนำเข้าข้าวที่ลดลง โดยเฉพาะผู้นำเข้าหลักอย่างฟิลิปปินส์ที่ยังงดการนำเข้าข้าว

ดังนั้นทั้งปี 2569 ราคาข้าวอาจโตเพียง 0.8% ซึ่งเป็นไปตามราคาข้าวโลกที่เผชิญอุปสงค์ส่วนเกิน โดยเฉพาะในฤดูข้าวนาปรังที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดราว 41.8% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด จะส่งผลให้ราคาข้าวปรับลดลง

ปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวปรับลดลง คือ ผู้นำเข้าหลักอย่างฟิลิปปินส์งดการนำเข้าข้าวไปจนถึงเดือนเม.ย. 2569 ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และจะยิ่งกดดันราคาข้าว อีกทั้งยังส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทยไปฟิลิปปินส์ให้ลดลงด้วย

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยเป็นอันดับที่ 5 คิดเป็น 6.2% ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของไทย

สำหรับปัจจัยหนุนราคาข้าวในตลาดโลกทั้งปี 2569 คือ อุปสงค์ส่วนเกินของโลกอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน คาดว่าความต้องการบริโภคอยู่ที่ 542.2 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 541.1 ล้านตัน ส่วนสต็อกข้าวของโลกลดลง 0.6% ไปอยู่ที่ 187.3 ล้านตัน

แม้ภาพรวมราคาข้าวไทยทั้งปี 2569 จะฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่หากพิจารณาประเภทข้าวจะพบว่า ข้าวขาว น่าจะยังมีราคาหดตัวอยู่ เนื่อง จากเป็นข้าวที่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงในตลาดโลก ซึ่งข้าวขาวไทยยังแข่งขันได้ยาก จากราคาที่แพงกว่าคู่แข่ง ทั้งอินเดียและเวียดนาม เพราะไทยมีต้นทุนการผลิตสูงและผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าคู่แข่ง

อ่านข่าว:

หนี้ครัวเรือนไทยสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสนบาท

บาทแข็ง-ผลผลิตล้น ฉุดส่งออกข้าว 8 เดือน ร่วง 23.98%

จับตา 5 พืชหลักเกษตรไทย วิกฤตต้นทุนสูง-ผลผลิตล้นฉุดราคาร่วง