วันนี้ ( 27 ก.ย.2568) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์ปี 2568 รายได้เกษตรกร 5 พืชหลักลดลงราว 16% หรือกว่า 8.1 แสนล้านบาท จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรมีทิศทางเพิ่มขึ้น เกิดปัญหาอุปทานส่วนเกิน กดดันราคาสินค้าให้ตกต่ำ ขณะที่แนวโน้มการระบายอุปทานส่วนเกินผ่านการส่งออกยังมองไม่เห็นสัญญาณบวก และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวถึงปี 2569

ข้อมูลจากสภาพัฒนาเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2567 เผยว่า เศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยมีมูลค่าราว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 8.7% ของขนาดเศรษฐกิจรวมทั้งประเทศ แต่เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญเชิงระบบของภาคเศรฐกิจไทย กลับพบว่า มีความสำคัญอย่างมากในมิติของแหล่งงานให้กับคนกว่า 11.5 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.9% ของจำนวนแรงงานทั่วประเทศ รวมถึงมิติการกระจายรายได้ทำให้แรงงานภาคเกษตรไม่กระจุกตัวในบางพื้นที่เหมือนกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรม
ในมิติเชิงลึกของเศรษฐกิจภาคเกษตรเมื่อพิจารณาในกลุ่ม 5 พืชหลักซึ่งสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยในปี 2567 สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 9.7 แสนล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2566 ราว 12.1% จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยให้ปริมาณผลผลิตการเกษตรที่ออกมามีแนวโน้มสูงมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี

ในขณะที่ฝั่งราคาผลผลิตยังได้รับอานิสงส์จากราคาพืชเกษตรที่ยังทรงตัวในระดับที่สูงต่อเนื่องจากปี 2566 ทั้งในส่วนของข้าวที่ราคาใกล้เคียงกับปีก่อน (-0.6%) ในขณะที่ยางพารา อ้อย และปาล์มน้ำมัน ราคาผลผลิตปรับตัวสูงขึ้นระดับ 54.0%, 31.5% และ 11.4% ตามลำดับ
สำหรับสถานการณ์ในปี 2568 รายได้เกษตรกรกลุ่ม 5 พืชเศรษฐกิจหลักกลับดูไม่สดใส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี ประเมินว่ามีจะแนวโน้มหดตัวราว 16% จากปีก่อน มีรวมรายได้อยู่ที่ 8.1 แสนล้านบาท สาเหตุหลักมาจากผลของราคาในทุกพืชเศรษฐกิจหลักมีทิศทางปรับตัวลงแรงจากช่วงต้นปี เหตุเกิดจากอุปทานส่วนเกินที่กดดันผ่านกลไกราคา ส่งผลให้ราคาผลผลิตพืชเกษตรตกต่ำ ตามสาเหตุของการเกิดอุปทานส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากสาเหตุที่ต่างกันออกไปในพืชแต่ละกลุ่มดังต่อไปนี้

ข้าว เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าบริโภคหลักที่ไม่สามารถเร่งการบริโภคภายในประเทศได้จากข้อจำกัดในการบริโภคเชิงกายภาพที่ไม่ว่าผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อสูงขึ้นเพียงใดก็ตาม ปริมาณการบริโภคย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อุปทานส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคจำเป็นต้องถูกเร่งระบายผ่านการส่งออก
ในขณะที่การส่งออกไทยกลับได้รับแรงกดดันจากภาวะการส่งออกที่ชะลอตัวต่ำ โดยปี 2568 คาดมูลค่าส่งออกข้าวไทยจะหดตัวแตะระดับ 40% จากปีก่อน คิดเป็นปริมาณส่งออกข้าวที่หายไปกว่า 1.9 ล้านตัน หรือคิดเป็นปริมาณข้าวเปลือกกว่า 2.9 ล้านตัน ส่งผลให้มีผลผลิตข้าวค้างเป็นสต็อกสูง อีกทั้งเมื่อมีผลผลิตข้าวนาปรังที่เข้ามาช่วงต้นปี 2568 ทำให้ราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาจะนำมาขายให้โรงสีถูกกดดันให้ราคาลดลงอีก ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 คาดการณ์ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มหดตัวหนักราว 35 - 40% จากปีก่อน ที่ราคาเฉลี่ย 6.7 พันบาทต่อตัน จากปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกที่คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 5.2% จากปีก่อน รวม 34.9 ล้านตัน

ปาล์มน้ำมันที่ผ่านมาภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้เป็นพืชน้ำมันเพื่อลดต้นทุนค่าพลังงาน แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มสูงกว่าราคาน้ำมันดีเซล ทำให้ต้นทุนค่าพลังงานที่ผสมนั้นสูงกว่าราคาเชื้อเพลิงปกติประกอบกับภาครัฐมักตรึงราคาดีเซลเพื่อไม่ให้กระทบกับต้นทุนค่าครองชีพทำให้รัฐจำเป็นต้องนำเงินกองทุนไปอุดหนุน ส่งผลให้ช่วงปลายปี 2567 มีการปรับลดสัดส่วนการใช้ B7 ลงเป็น B5 เพื่อลดภาระราคาพลังงาน จึงสร้างแรงกดดันให้ความต้องการปาล์มน้ำมันดิบเพื่อใช้ผลิตเป็นไบโอดีเซลลดลงถึงประมาณ 1.3 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 7% ของผลผลิตทั้งหมด
มันสำปะหลังไทยมีไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ในประเทศ ความต้องการใช้มันสำปะหลังกว่า 47% ของปริมาณผลผลิตหัวมันสำปะหลังทั้งหมดที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมแป้งมัน ทั้งนี้จากโครงสร้างการกระจายสินค้าของแป้งมันสำปะหลังที่กว่าครึ่งพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ส่งผลให้ในระยะที่ผ่านมาผู้ประกอบการจีนเริ่มหันไปตั้งโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังเองในประเทศกลุ่ม CLMV มากขึ้น สะท้อนผ่านปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังในช่วงปี 2565-2567

โดยเฉพาะในลาวและกัมพูชาจากเดิมมีสัดส่วนรวมกันกว่า 58% เพิ่มขึ้นเป็น 71% ของปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังของไทย สร้างแรงกดดันให้อุปสงค์ที่เคยมีไว้เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าปลายน้ำปรับตัวลดลง และส่งผลกระทบให้ราคาหัวมันสดมีทิศทางหดตัวลงต่อเนื่อง
ดังนั้นสถานการณ์ที่ถูกรุมเร้าจากปัญหาอุปทานส่วนเกินในปี 2568 กดดันราคาสินค้าให้ตกต่ำ และไทยยังได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้ำฝนที่ดีในปีนี้ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีทิศทางเพิ่มขึ้น เป็นการซ้ำเติมภาวะอุปทานส่วนเกินที่กดดันให้ราคายังทรงตัวต่ำตลอดปีส่งผลให้รายได้เกษตรกรคาดว่าจะปรับลดลงถึง 16% รวมถึงในปี 2569 ยังคาดว่าชะลอตัวต่อเนื่องจากความน่าจะเป็นที่มีโอกาสจะเกิดปรากฏการณ์ลานีญาลากยาวถึงช่วงกลางปี 2569ในส่วนของอ้อยถูกปรับราคารับซื้อลงตามทิศทางราคาน้ำตาลโลกที่มีแนวโน้มลดลงจากผลผลิตน้ำตาลของบราซิลเริ่มฟื้นตัว

ttb analytics เชื่อว่า รายได้เกษตร 5 พืชหลักยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องถึงปี 2569 ดังนั้นภาครัฐเร่งจัดการปัญหาอุปทานที่เกิดขึ้น แบ่งออกเป็น การจัดการปัญหาด้านฝั่งอุปสงค์ที่ต้องพยายามช่วยหาช่องทางระบายผลผลิตส่วนเกินไปยังตลาดโลกในพื้นที่ใหม่ ส่งเสริมความรู้ในการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีความหลากหลาย รวมถึงจัดการปัญหาด้านฝั่งอุปทานโดยปรับนโยบายให้มีความรัดกุม สนับสนุนการจัดการห่วงโซ่อุปทานในประเทศ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Smart Farming และการปรับปรุงกลไกสนับสนุนหรือพยุงราคาที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทยในระยะยาว
อ่านข่าว:
หนี้ครัวเรือนไทยสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสนบาท
ข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่ สินค้าGI ใหม่ เอกลักษณ์โดดเด่น กลิ่นหอมเผือกเฉพาะตัว
FTA กุญแจปลดล็อกการค้า-ลงทุน ศูนย์วิจัยกรุงไทยฯแนะใช้รับมือสงครามการค้า