มหาวิทยาลัยพัฒนาพื้นที่ 20 แห่ง แบ่งเป็นเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 3 แห่ง เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ 5 แห่ง และมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคใต้อื่นๆ อีก 7 แห่ง ประสานพลังความร่วมมือหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ปักหมุดศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จ.สงขลา จัดมหกรรมเศรษฐกิจฐานราก :แก้จน-ลดหนี้-เพิ่มรายได้ ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม พื้นที่ภาคใต้ ปี 2568 หรือ "Appropriate Technology Matching Day 2025" โดยระดม 70 กว่าผลงานวิจัยและสาธิต 6 ผลงานวิจัยเด่น เสริมคุณภาพชีวิตประชาชน ตอบสนองนโยบายวิจัยติดดินของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา
รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ ประธานอนุกรรมการพิจารณาติดตามและประเมินผล แผนงานย่อยรายประเด็น การขยายผลวิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและแก้หนี้ครัวเรือน เปิดเผยว่า วันนี้ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคใต้ จัดกิจกรรมเพื่อ นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมจากสถาบันการศึกษาออกสู่มือเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการชุมชน
รศ.ดร.พีรเดช ระบุว่า เทคโนโลยีที่นำมาจัดแสดงและถ่ายทอดในงานครั้งนี้ คัดเลือกจากความเหมาะสมและศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างแท้จริงให้กับประชาชน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ครัวเรือนเป้าหมายจำนวน 12,000 ครัวเรือน คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อเดือน หรือ 60,000 บาทต่อปี จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้
รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ
รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ
ทั้งนี้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมถูกขับเคลื่อนด้วย 3 รูปแบบหลัก ได้แก่
- ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้ว พร้อมใช้งานได้ทันที ส่งตรงไปยังครัวเรือนชนบทสำหรับสร้างอาชีพใหม่หรือเพิ่มรายได้อย่างรวดเร็ว เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าใช้งานได้จริงในภาคปฏิบัติ
- ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนผลิตต่อ หรือรูปแบบอัพสเกล (Upscale) สำหรับเทคโนโลยีที่มีราคาสูงหรือต้องการการผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้เอกชนนำไปผลิต กระจาย และจำหน่ายให้เกษตรกรในราคาที่เข้าถึงได้
- จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีในมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยจะนำเทคโนโลยีที่พัฒนาเองมาถ่ายทอดหรือผลิตเพื่อส่งต่อให้ชุมชนและครัวเรือนชนบทโดยตรง
"วิจัยติดดิน" นวัตกรรมเพื่อชุมชน
พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวเปิดงานโดยระบุว่า การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมและพร้อมใช้ไปพัฒนาชุมชน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ ทำให้ชุมชนพึ่งตัวเองได้อย่างยั่งยืน
มีความสอดคล้องกับนโยบายวิจัยติดดินนวัตกรรมยกระดับเศรษฐกิจฐานรากทั่วไทย โดยมุ่งที่จะส่งเสริมในการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยี ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมรวมทั้งตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยกระจายอยู่ทั่วประเทศและมีบทบาทสำคัญในการที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่ที่เป็นกลไกสำคัญในการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจและรายได้สู่ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคด้วยเหตุนี้ทาง อว. ซึ่งเป็นหน้าที่ในการสนับสนุนการสร้างและการส่งเสริมนวัตกรรมพร้อมใช้และทุกเทคโนโลยีที่เหมาะสมในมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อช่วยชุมชนพื้นที่ทั่วประเทศไทย
"อว.พร้อมที่จะสนับสนุนงานวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการนำไปใช้ประโยชน์และนำนวัตกรรมที่พร้อมใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมไปช่วยแก้ปัญหาตามความต้องการจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรายย่อยกลุ่มอาชีพผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และคาดหวังว่าหลังจากนี้หากประสบความสำเร็จจะขยายผลการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมไปแก้ปัญหาให้กับชุมชนทั่วประเทศต่อไป"
เปิดเวทีโชว์วิจัย 70 ผลงาน
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวง อว.กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่าพื้นที่ภาคใต้นี้ถูกจัดขึ้น เพื่อสนองต่อนโยบายวิจัยติดดิน นวัตกรรมยกระดับเศรษฐกิจฐานรากทั่วไทย ของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. โดยจัดไปแล้วในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภายในเดือน พ.ย.นี้จะจัดต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งภาคกลาง เพื่อนำผลงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมของคณาจารย์ นักวิจัยไปเผยแพร่ให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้รับรู้ และนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้มั่นคงขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงแก่เศรษฐกิจฐานราก และเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่
"งานมหกรรมเศรษฐกิจฐานราก แก้จน ลดหนี้ เพิ่มรายได้ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมพื้นที่ภาคใต้นี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนหลากหลายหน่วยงานลงทะเบียนเข้าร่วมงานจำนวน 490 คน และมีการแสดงผลงานเทคโนโลยีที่เหมาะสมจำนวน 70 ผลงานจาก เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ เครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตลอดจนมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยจาก บพท."
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
ผู้อำนวยการ บพท.กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่านอกเหนือจากการแสดงผลงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้ว ยังมีการสาธิตผลงานวิจัยของโครงการวิจัยที่ผ่านการพิสูจน์ผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์ในการแก้จน ลดหนี้ และเพิ่มรายได้ สร้างความมั่นคงแก่อาชีพ ตลอดจนเศรษฐกิจพื้นที่อีก 6 โครงการ จาก 3 มหาวิทยาลัยคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ได้แก่
1).โครงการวิจัยพัฒนากระบวนการเลี้ยงปูขาว ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง
2). โครงการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องอบแห้งและเครื่องคัดถั่วหรั่ง
3).โครงการวิจัยการประยุกต์ใช้และขยายผลเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่ภาคใต้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจครัวเรือน
นอกจากนี้ก็มีการสาธิตการแสดงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ 1 โครงการ ได้แก่โครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงผึ้งชันโรง และการสาธิตการแสดงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แก่
1).โครงการวิจัยต้นแบบการพัฒนาชุมชนด้านการผลิตปลิงทะเลด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มรายได้ครัวเรือนและชุมชนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
2).โครงการวิจัยการขยายผลการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักสานจากนวัตกรรมวัสดุเพื่อความยั่งยืน (วัสดุจักสานยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก) เพื่อยกระดับผลงานหัตถกรรมไทยสู่สากล
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
เดินหน้ากระจายเทคโนโลยี-นวัตกรรม ลดความเหลื่อมล้ำ
รายงานสถานการณ์ความยากจนในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ พบว่ามีจำนวนครัวเรือนยากจนรวม 384,063 ครัวเรือน โดยกว่า 56% เป็นประชาชนที่ขาดทักษะอาชีพ ไม่สามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งภัยเศรษฐกิจที่เสื่อมถอย การกีดกันทางการค้า และการส่งออกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผลผลิตหลายชนิดตกต่ำต่อเนื่อง ซึ่งที่เป็นภัยของโลกที่ต้องเจอ
ขณะเดียวกัน ปัญหาความมั่นคงด้านทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก ยังคงเป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง จากการเข้าไม่ถึงความเจริญ ไม่สามารถเข้าถึงทักษะอาชีพ จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้ กระทรวง อว.เร่งดำเนินบทบาทสำคัญ โดยใช้ศักยภาพเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมากกว่า 150 แห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยเอกชนกว่า 180 แห่ง ซึ่งมีทั้งบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีนวัตกรรมกระจายอยู่ทุกภูมิภาค
โดยการวางยุทธศาสตร์ และการเข้าถึง 4 ด้าน เพื่อผลักดันให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมลงสู่ชุมชนอย่างเป็นระบบ ได้แก่
- การเข้าถึงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
- การเข้าถึงความรู้และผู้รู้จากสถาบันการศึกษา
- การเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผ่านเครือข่ายที่ได้รวบรวมเทคโนโลยีกว่า 20,000 รายการ และคัดกรองเป็นนวัตกรรมคุณภาพสูงแล้วกว่า 3,500 รายการ เพื่อให้ชุมชนเลือกใช้ตามความต้องการ
- การเข้าถึงตลาด พร้อมระบบบริการหลังการขาย และเครือข่ายต่อยอด ระบบดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อให้ชุมชนสามารถเข้ามาค้นหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมได้ด้วยตนเองในอนาคต
"เมื่อนำเทคโนโลยีให้เกษตรกร และเกษตรกรลงแรง ลงความรู้ และลงทุนเพื่อให้เกิดผล ผลลัพธ์ต้องเกิดจากการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่การมีเทคโนโลยีเท่านั้น เศรษฐกิจจะเติบโตได้ ประชาชนต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น และชุมชนต้องพัฒนาได้ด้วยพลังของชุมชนเอง"
ความท้าทายภาคใต้ในการกระจายเทคโนโลยี
ในโอกาสนี้ ดร.กิตติ กล่าวถึงความท้าทายในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่พื้นที่ภาคใต้ ที่มีความแตกต่างด้าน ภูมิศาสตร์กายภาพ และ ภูมิสังคม ที่แต่ละชุมชนมีการรวมกลุ่มที่ไม่เหมือนกัน บางกลุ่มส่งเสริมง่ายแต่ก็ล้มเลิกง่ายเช่นกัน ขณะที่บางพื้นที่ส่งเสริมยากแต่ทำแล้วจะมีความต่อเนื่อง
หลายพื้นที่ในภาคใต้มีศักยภาพและความพร้อมด้านการลงทุน แต่สิ่งยังขาดคือการขยายผลซึ่งหมายถึงการเข้าถึงต้องมีหน่วยเชิงรุกไปเข้าถึงลงไปค้นลงไปสำรวจให้ประชาชนเข้าถึงโอกาส เพราะมีข้อจำกัดเรื่องของความมั่นคง
อีกหนึ่งความแตกต่างคือ ระดับรายได้และภาระหนี้สินครัวเรือน ที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้ความต้องการทรัพยากร อาชีพ และรายได้ของแต่ละชุมชนต่างกันอย่างชัดเจน
เป้าหมายคือเศรษฐกิจครัวเรือน ที่ไม่ได้ใช้พื้นที่และทรัพยากรรวมถึงต้นทุนที่ไม่มาก ผ่านโมเดลอาชีพที่ใช้ทรัพยากรฐานในพื้นที่เป็นหลัก โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้จะเน้นทรัพยากรฐานทรัพยากรชายฝั่งทรัพยากรในพื้นที่เพราะเมื่อเป็นทรัพยากรในพื้นที่มีการทำอาชีพจะทำให้ชาวบ้านเกิดการอนุรักษ์
หนุน "เศรษฐกิจครัวเรือน" สร้างภูมิคุ้นกันทางเศรษฐกิจ
ดร.กิตติ ยังกล่าวว่าสถานการณ์การกีดกันทางการค้า ส่งผลต่อราคาพืชผลส่งออก โดยหลายสินค้าตกต่ำเช่น มันเทศที่เคยส่งออกได้ราคา 60 บาท เหลือเพียง 2 บาท รวมถึง มะม่วงจากราคา 90 บาท เหลือเพียง 10 บาท สร้างความเสียหายให้เกษตรกรในหลายจังหวัด
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดกลับเป็น เศรษฐกิจครัวเรือนในชุมชน ที่สามารถพึ่งพาการจำหน่ายภายในท้องถิ่น แม้ปริมาณการขายไม่มาก แต่ทำให้ครัวเรือนยังมีรายได้เฉลี่ย 5,000–10,000 บาทต่อเดือน ถือเป็นภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกมากถึง 60% ของโครงสร้างเศรษฐกิจ หากสถานการณ์กีดกันการค้าดำเนินต่อไป ปัญหาการส่งออกจะยิ่งหนักขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งต้องมุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือนและเศรษฐกิจชุมชนให้มากขึ้น
การสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระดับครัวเรือน ควรทำให้ครอบครัวมีรายได้ อย่างน้อย 2 ช่องทางขึ้นไป โดยมีทั้งอาชีพหลักและอาชีพรอง ซึ่งในอนาคตอาชีพรองสามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลักได้หากมีช่องทางตลาดและทักษะรองรับ
อ่านข่าว :
3 เทศบาล 1 อบจ. "ปัตตานี-ตาก-ตรัง" คว้ารางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ไทย
ไทย-จีนเปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลัง ยกระดับโคราชสู่เมืองนวัตกรรมเกษตรครบวงจร
เปิดแคตตาล็อกนวัตกรรมพร้อมใช้มหาวิทยาลัยทั่วอีสาน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก











