ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สัญญานเตือน "ข้าวไทย" เสี่ยงรอบด้าน เร่งปรับพันธุ์ตอบโจทย์ตลาดโลก

เศรษฐกิจ
16:04
20
สัญญานเตือน "ข้าวไทย" เสี่ยงรอบด้าน เร่งปรับพันธุ์ตอบโจทย์ตลาดโลก

อุตสาหกรรม "ข้าวไทย" กำลังเผชิญภาวะท้าทายรอบด้าน จากประเทศคู่แข่งส่งออก และสภาพอากาศแปรปรวน ต้นทุนการผลิตที่สูง พันธุ์ข้าวที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก และการกลับมาทำตลาดข้าวอีกครั้งของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย ครั้งล่าสุด ปัจจัยข้างต้นล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในเวทีโลก

กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า การส่งออกข้าวเดือนมกราคม-ตุลาคม 2568 มีปริมาณ 6,424,446 ตัน มูลค่า 123,143 ล้านบาท (3,740 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยปริมาณส่งออกลดลง 23.9% และมูลค่าส่งออกลดลง 36.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ที่มีการส่งออกปริมาณ 8,438,917 ตัน มูลค่า 192,799 ล้านบาท (5,641 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยสถาน การณ์ส่งออกข้าวไทย ว่า ผลผลิตข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 อยู่ที่ 24 ล้านตันข้าวเปลือก

โดยไทยส่งออกข้าวข้อมูลถึงวันที่ 27 ต.ค. 2568 ส่งออกได้ในปริมาณ 6.4 ล้านตัน ลดลง 22% สาเหตุหลักๆ เกิดจากการส่งออกข้าวขาวลดลงและอินเดียเริ่มระบายสต็อก ผลผลิตข้าวทั่วโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศผู้ซื้อสำคัญ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต่างชะลอการนำเข้า ราคาข้าวขาวในประเทศจึงได้รับผลกระทบไปด้วยในทางกลับกัน พระเอกของการส่งออกปีนี้ คือ ข้าวหอมมะลิ ที่ยังสามารถส่งออกได้รวมกว่า 1.49 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยประเทศผู้นำเข้าสูงสุด คือ สหรัฐ รองลงมา ฮ่องกง และแคนาดา

ภาพรวมการส่งออกข้าวไทยจะสูงกว่าเป้าหมายที่ 7.5 ล้านตัน มีโอกาสขยับขึ้นไปเกือบ 8 ล้านตันได้ แต่ไทยจะหลุดเบอร์ 2 ของการส่งออกข้าวโลกให้กับเวียดนาม เพราะแค่ 9 เดือนเวียดนามส่งออกไปแล้ว 6.82 ล้านตัน ขณะที่ไทยส่งออกได้เพียง 5.80 ล้านตันเท่านั้นลดลงถึง 23.1% ขณะที่อินเดียยังคงครองแชมป์ส่งข้าว คาดว่าน่าจะมีปริมาณสูงถึง 16 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 35% ส่วนการส่งออกข้าวปี 2569 สมาคมฯ ยังคงตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้เท่าเดิม 7.5 ล้านตัน แบ่งเป็น ข้าวขาว 5% ปริมาณ 3.5 ล้านตัน ข้าวนึ่ง ปริมาณ 1.4 ล้านตัน ข้าวหอมมะลิรวมปลายข้าวหอม ปริมาณ 1.7 ล้านตัน (เฉพาะข้าวหอมมะล ปริมาณ 1.3 ล้านตัน) ข้าวหอมไทย ปริมาณ 0.6 ล้านตัน และข้าวเหนียว ปริมาณ 0.3 ล้านตัน

สัญญาณเตือน “ข้าวไทย” เข้าสู่ช่วงขาลง

ศูนย์วิจัยกรุงไทย วิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมข้าวไทยอยู่ในช่วงขาลงชัดเจนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 โดยด้านราคา พบว่า ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นข้าวส่งออกหลักของไทยมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 2567 เป็นต้นมา เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาในตลาดส่งออกรุนแรงขึ้น หลังจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่กลับมาทำตลาดส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 2567 จากที่ก่อนหน้ามีนโยบายจำกัดการส่งออก

โดยราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย เดือน ต.ค. 2568 อยู่ที่ราว 356 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือลดลง -31%YoY และเป็นระดับราคาส่งออกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาส่งออกข้าวขาว 5% ในปี 2560-2566 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่อินเดียจะจำกัดการส่งออกข้าวซึ่งอยู่ที่ราว 418 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของประเทศคู่แข่งอย่างอินเดีย และเวียดนาม ก็ปรับลดลงแรงเช่นกัน โดยมีราคาอยู่ที่ราว 360-366 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

การกลับมาทำตลาดส่งออกข้าวของอินเดีย ส่งผลกระทบทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยหดตัวชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการขยายตัวต่อเนื่อง

ตัวเลขที่เห็นได้ชัด ช่วง ม.ค.-ต.ค. 2568 ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง -24%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณการส่งออกข้าวในเดือน ม.ค.-ต.ค. ตั้งแต่ปี 2560-2567 ที่อยู่ที่ราว 6.9 ล้านตัน โดยเฉพาะข้าวขาวซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ปริมาณการส่งออกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -41%

ศูนย์วิจัยกรุงไทย มองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมข้าวในปี 2568-2569 จะอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อรายได้ และกำไรของผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้อย่างธุรกิจโรงสีข้าว และผู้ส่งออกข้าว นอกจากนี้ ทิศทางราคาข้าวที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในปีหน้า ยังสร้างความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ภายใต้แรงกดดันจากหลายความท้าทาย

ศูนย์วิจัยกรุงไทยชี้ อินเดียระบายสะต็อก กระทบส่งออกข้าวไทย

สำหรับความท้าทายที่ตลาดข้าวไทยต้องเผชิญ ตั่งแต่ตอนนี้ไปจนถึงปีหน้า ศูนย์วิจัยกรุงไทย แบ่งออกเป็นความท้ายทายของข้าวไทย ไม่ว่าจะเป็น การระบายสต็อกข้าวครั้งใหญ่ของอินเดียที่ทำให้เกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด อินเดีย ทยอยปล่อยข้าวออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วง ก.ย. 2568 มีเป้าหมายรวมกว่า 20 ล้านตัน ซึ่งกดดันราคาข้าวในตลาดโลกให้ต่ำลง เนื่องจากอินเดียครองสัดส่วนการส่งออกข้าวมากกว่าหนึ่งในสามของโลก ทำให้เกิดภาวะข้าวล้นตลาด (oversupply) ทำให้ราคาข้าว เช่น ข้าวขาว 5% ถูกกดดันให้ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกคู่แข่งอย่างไทย เวียดนาม และปากีสถาน ที่ต้องปรับลดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ USDA ที่คาดว่าในปี 2568 อินเดียจะส่งออกข้าวได้ราว 23.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ราว 63% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 2563-2567 ที่อยู่ที่ราว 17.9 ล้านตัน

ศูนย์วิจัยกรุงไทย วิเคราะห์อีกว่า การระบายสต็อกข้าวของอินเดียจะทำให้ราคาและปริมาณส่งออกข้าวไทยลดลง โดยปี 2568 คาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ราว 405 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สอดคล้องกับการประเมินของ World Bank ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 406 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

ส่วนในปี 2569 พบว่า ความยืดหยุ่นของอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาข้าวไทย หากปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ราคาข้าวเฉลี่ยในตลาดโลกลดลงประมาณ 0.6–0.8% ชี้ว่าความผันผวนของราคาข้าวส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการค้าข้าวรวมในตลาดโลกและนโยบายการค้าของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่

ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบจากการระบายสต็อกของอินเดีย แบ่งเป็น 3 กรณี โดยคำนึงถึงปริมาณและจังหวะการระบายข้าว และมีสมมติฐานว่า มาตรการระบายข้าวของอินเดียจะมีผลต่อราคาและปริมาณการส่งออกข้าวของไทย ส่วนประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อื่นๆ เช่น เวียดนามและปากีสถาน ปริมาณส่งออกข้าวจะเติบโตตามศักยภาพ (Potential Growth) โดยไม่ได้มีมาตรการเร่งระบายสต็อกข้าวเหมือนอินเดีย

นอกจากนี้ยังไม่รวมผลจากปัจจัยภายนอกอื่น เช่น ปัจจัยสงครามการค้า เช่น กรณีฐานหากอินเดียระบายสต็อกข้าวทั้งหมด 20 ล้านตัน เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568-ส.ค. 2569 ซึ่งจะทำให้ในระยะเวลาดังกล่าวอุปทานข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง

กรณีดีที่สุดหากอินเดียระบายสต็อกข้าวทั้งหมด 15 ล้านตัน ในระยะเวลาเดียวกับกรณีฐาน แบ่งอีก 5 ล้านตันไว้สำหรับการใช้ในประเทศ ทำให้อุปทานข้าวอินเดียที่จะออกสู่ตลาดมีปริมาณน้อยกว่าในกรณีฐาน และส่งผลให้ราคาข้าวอาจลดลงน้อยกว่ากรณีฐานแรก

และกรณีเลวร้ายที่สุด หากอินเดียระบายสต็อกข้าวทั้งหมด 20 ล้านตันในระยะเวลาสั้นกว่าในกรณีฐาน โดยเร่งระบายสต็อกภายใน 10 เดือน หรือตั้งแต่ เดือน ก.ย. 2568-มิ.ย. 2569 หากอินเดียจะระบายสต็อกข้าวทั้งหมดก่อนที่ผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด การเร่งระบายข้าวในระยะเวลาที่สั้นกว่าจะทำให้อุปทานข้าวตลาดโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าในกรณีฐาน และจะส่งผลให้ราคาลดลงแรงกว่าในกรณีฐาน

“อินโด-ฟิลิปปินส์” กำลังซื้อลด ทำตลาดข้าวไทยผันผวน

สำหรับตลาดส่งออกสำคัญของไทย คือ “อินโดนีเซีย “ที่นับว่าเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ซึ่งปี 2567 ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียราว 1.3 ล้านตัน สูงเป็นลำดับที่ 1 ซึ่งเกิดจากในช่วงปี 2566-2567 อินโดนีเซียได้เพิ่มโควตาการนำเข้าข้าวเพื่อควบคุมราคาในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซียมีการประกาศใช้มาตรการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ ด้วยการจำกัดการนำเข้าข้าว เนื่องจากผลผลิตในอินโดนีเซียมีเพียงพอสำหรับการบริโภค ทำให้ตั้งแต่ช่วง ม.ค.-ส.ค. 2568 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปตลาดอินโดนีเซียลดลงถึง 1.04 ล้านตัน (ลดลง -94%)

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยลำดับที่ 6 ที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 13% หรือ 6.5 แสนตัน ในปี 2567 ได้มีนโยบายห้ามนำเข้าข้าวเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมของไทย

ในขณะที่ตลาดสหรัฐฯซึ่งเป็นหนึ่งตลาดส่งออกข้าวของไทยเช่นกัน ได้เร่งเจรจาคู่ค้าเปิดเสรีข้าว ถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด โดยสหรัฐฯ ได้เจรจากับคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่นให้เพิ่มการนำเข้าข้าวมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและรายได้จากการส่งออกข้าวไปยังญี่ปุ่น โดยในปี 2567 ข้าวไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 43% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของญี่ปุ่น ดังนั้น การที่สหรัฐฯ เจรจาญี่ปุ่นให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจทำให้ข้าวไทยเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดญี่ปุ่น

ค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทย อาจทำให้ตั้งราคาส่งออกลำบากและแพงกว่าคู่แข่ง โดยหากค่าเงินแข็งทุก 1 บาท จะทำให้ราคาส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 15 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่งผลให้ราคาข้าวไทยในเชิงเปรียบเทียบสูงกว่าคู่แข่ง เช่น เวียดนามหรืออินเดีย ทำให้ผู้นำเข้าบางประเทศหันไปซื้อจากแหล่งอื่นแทน

กระทบตลาดข้าวพรีเมียม ข้าวเวียดนามปรับตัวสู้

อีกหนึ่งความท้าทายของข้าวไทย คือ ไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามในการปรับตัวไปสู่ตลาด Low Emission Rice ซึ่งกระทบโอกาสในการขยายตลาดข้าวพรีเมียม เพราะปัจจุบันเวียดนามเร่งพัฒนาข้าวที่มีคุณภาพตามแนวทาง ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นและยุโรป พร้อมแผนพัฒนาเกษตรแบบลดคาร์บอนในพื้นที่กว่า 1 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 2030 ขณะที่เกษตรกรเวียดนามมีการนำนวัตกรรม เช่น การปลูกแบบเปียกสลับแห้ง หรือ Alternate Wetting and Drying (AWD) และการใช้โดรนพ่นปุ๋ย มาลดการใช้น้ำและก๊าซมีเทนอย่างเป็นรูปธรรม

ในทางกลับกัน ไทยแม้จะมีโครงการต้นแบบร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น TGCP-Agriculture และ Olam Agri ที่พัฒนาเกษตรยั่งยืน แต่ยังอยู่ในวงจำกัดและขาดการสร้างแบรนด์ระดับประเทศในเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันตลาดโลกเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG เป็นปัจจัยหลักในการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียม หากไทยยังไม่เร่งยกระดับการพัฒนา ESG ในอุตสาหกรรมข้าวอย่างจริงจังและเป็นระบบ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าสูงให้กับคู่แข่งอย่างเวียดนาม

พันธุ์ข้าวไม่ตอบโจทย์ ปัญหาโครงสร้าง กดดันแข่งขันราคา

เป็นที่รู้ว่ากันว่า ผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม เป็นหนึ่งในจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวไทยในระดับโลก ปัจจุบัน เกษตรกรไทยผลิตข้าวได้เพียง 458 กิโลกรัม/ไร่ ขณะที่เวียดนามผลิตได้ถึง 986 กิโลกรัม/ไร่ แม้จะอยู่ภายใต้ต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อหารด้วยผลผลิตที่ต่างกัน ต้นทุนเฉลี่ย/กิโลกรัมของข้าวไทยจึงสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ไทยเสียเปรียบในการตั้งราคาขาย

ปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตข้าวไทยยังต่ำ เกิดจากการใช้พันธุ์ข้าวที่ไม่ตอบโจทย์การตลาดและสภาพอากาศ การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ไม่ทั่วถึง จนถึงเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ยังไม่พัฒนา หากไทยไม่เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ให้เทียบเท่าคู่แข่ง ข้าวไทยอาจค่อยๆ สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านต้นทุนและส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว

สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งในด้านการตลาดและการผลิต โดยการเจรจาการค้าในเวทีระหว่างประเทศ เช่น FTA หรือข้อตกลงด้านความมั่นคงอาหาร ควรมีเป้าหมายเปิดตลาดใหม่ให้ข้าวไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคุณภาพสูง ขณะเดียวกัน รัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในด้านวิจัยสายพันธุ์ข้าว ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และสนับสนุนงบ R&D แก่เอกชน เพื่อเร่งพัฒนาความสามารถเชิงแข่งขันในระยะยาว

รวมไปถึงการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว ผู้ประกอบการควรร่วมมือกับภาคเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาและสนับสนุนสายพันธุ์ข้าวที่มีผลผลิตสูง ทนแล้ง ทนน้ำเค็ม หรือใช้ระยะเวลาปลูกสั้น เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยการผลิตและเพิ่มปริมาณวัตถุดิบเพื่อการส่งออก พันธุ์ข้าวเฉพาะทางที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ยังสามารถตอบสนองดีมานด์เฉพาะของตลาด เช่น ข้าวหอมตะวันออกกลาง หรือข้าวนึ่งในแอฟริกา ผู้ส่งออกไทยควรลดการพึ่งพาตลาดดั้งเดิม เช่น สหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้า และหันไปยังตลาดที่ยังไม่มีผู้เล่นหลัก เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และประเทศเกิดใหม่ในเอเชียกลาง (เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน) ซึ่งมีความต้องการบริโภคสูงแต่ขาดโครงสร้างการผลิตข้าวในประเทศ

เปิดตัว “ข้าวประณีต” นำร่องเศรษฐกิจข้าวยุคใหม่

ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าปั้น “ข้าวประณีต”นสัญลักษณ์ใหม่ของเศรษฐกิจข้าวไทย หรือ New Rice Economy ชูรสชาติ–อัตลักษณ์–ข้อมูลเชิงลึก เป็นตัวขับเคลื่อนเพิ่มมูลค่าแทนการแข่งขันด้านปริมาณ เตรียมนำเสนอครั้งแรกในงาน “Thailand Rice Fest 2025”ปลายปีนี้

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดข้าวโลกเปลี่ยนไป ผู้บริโภคไม่ได้เลือกข้าวจากความเคยชิน แต่ให้ความสำคัญกับรสชาติ แหล่งที่มา เรื่องราวผู้ผลิต และข้อมูลประกอบการบริโภค ข้าวไทยต้องมีสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่ขายด้วยชื่อพันธุ์เพียงอย่างเดียว ถ้าบอกได้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร เหมาะกับเมนูแบบไหน หรือผลิตจากพื้นที่ใด จะทำให้ผู้ซื้อทั่วโลกเห็นคุณค่าที่แท้จริง และพร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น

นาย นพธรรม วาณิช ผู้ร่วมก่อตั้ง Rice Hub

นาย นพธรรม วาณิช ผู้ร่วมก่อตั้ง Rice Hub

นาย นพธรรม วาณิช ผู้ร่วมก่อตั้ง Rice Hub

นาย นพธรรม วาณิช ผู้ร่วมก่อตั้ง Rice Hub ระบุว่า ไทยมีความหลากหลายของข้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ในระบบการค้าใช้จริงเพียงไม่กี่พันธุ์ ทำให้ไม่ตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่ที่ต้องการข้าวเฉพาะทาง เริ่มจากการชิมและบันทึก Flavor Notes เพื่อสร้างภาษากลางของรสชาติข้าว เหมือนวงการไวน์หรือกาแฟพิเศษ จากนั้นพบว่าข้าวอย่างข้าวลืมผัว ข้าวหอมใบเตย หรือข้าวไร่ดอกข่า ล้วนมีคาแรกเตอร์เฉพาะแบบที่ตลาดพรีเมียมต้องการ เราจึงใช้คำว่า ‘ข้าวประณีต’ เพื่ออธิบายคุณลักษณะนี้

ทั้งนี้ ไทยผลิตข้าวปีละ 20 กว่าล้านตัน และพึ่งพาการส่งออกมากกว่าครึ่ง ในขณะที่ผลผลิตต่อไร่ยังตามหลังประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามที่ได้เฉลี่ย 1,200 กก./ไร่ ขณะที่ไทยเฉลี่ย 600–700 กก./ไร่ กระทรวงพาณิชย์จึงเร่งขับเคลื่อนให้ข้าวไทยเปลี่ยนสู่ “ตลาดเฉพาะทาง” มากขึ้น โดยใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายกว่า 5,000 สายพันธุ์เป็นตัวนำ และเริ่มต้นส่งเสริม 200 กลุ่มเกษตรกรต้นแบบในเฟสแรก หากไทยสามารถสร้างระบบข้อมูล รสชาติ อัตลักษณ์ และเรื่องราวของข้าวแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน “ผู้ซื้อทั่วโลกจะเลือกข้าวไทยเหมือนเลือกกาแฟหรือไวน์

 อ่านข่าว:

ปลุกรัฐรับมือ "น้ำท่วม" ทำเศรษฐกิจ "อัมพาต" เสียหายกว่าแสนล้าน

ทางรอดวิกฤต "กุ้งไทย" บุกตลาดสหรัฐฯ หลัง "อินเดีย"โดนภาษีอ่วม

เศรษฐกิจไทยติดหล่ม "เงินเฟ้อต่ำ" กำลังซื้อลด ผลักสู่ภาวะเงินฝืด ?