ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทางรอดวิกฤต "กุ้งไทย" บุกตลาดสหรัฐฯ หลัง "อินเดีย"โดนภาษีอ่วม

เศรษฐกิจ
17:17
33
ทางรอดวิกฤต "กุ้งไทย" บุกตลาดสหรัฐฯ หลัง "อินเดีย"โดนภาษีอ่วม
อ่านให้ฟัง
14:47อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

กุ้ง เคยเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้เข้าประเทศได้มหาศาลในปี 2554 มีผลผลิตสูงถึง 600,000 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่น้อย แต่ปัจจุบันกลับผลิตได้ไม่ถึง 300,000ตัน สาเหตุจากการเกิดโรคระบาดในกุ้ง ทั้งโรคEMS โรคตัวแดงดวงขาว โรคขี้ขาว และหัวเหลือง เป็นต้น อีกทั้งเจอสภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนตกหนัก ทำให้การเลี้ยงสะดุดลง ขณะที่การแข่งขันราคาตลาดกุ้งในต่างประเทศก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อกุ้งไทย

กุ้งขาว

กุ้งขาว

กุ้งขาว

เช่นเดียวกับ ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย เป็นพื้นที่เลี้ยงกุ้งมากที่สุดในประเทศไทย แต่หลังจากเกิดปัญหามหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในหลายๆ จังหวัด อย่างมาก 

แต่บนความความเสียหายของอุตสาหกรรมกุ้งในประเทศ การส่งออกกุ้งไทยปี 2569 ก็ยังพอเห็นแสงสว่างที่จะดันให้สามารถส่งออกได้ 400,000 ตัน ตามที่สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งไทยเคยประกาศไว้

จับตา "กุ้งไทย" ภาษีทรัมป์ ชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม 

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า ปี 2569 จะเป็นโอกาสทองของส่งออกกุ้งไทย หลังอินเดีย ถูกภาษีสหรัฐเรียกเก็บสูงกว่า 60% ซึ่ง อาจทำให้กุ้งหายจากตลาดถึง 300,000 ตันซึ่งจะเป็นโอกาสของกุ้งไทยที่จะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตรงนี้ได้ นอกจากนี้เอกชนหวังว่ารัฐบาลจะเร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป 

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย

เพราะตลาดยุโรปเป็นอีกหนึ่งตลาดของกุ้งไทยที่จะทำให้ไทยกลับมาส่งออกกุ้งได้อีก 60,000 ตันจากเดิมที่หายไปหลังไทยถูกตัดสิทธิ GSP ทำให้ปัจจุบันไทยส่งออกกุ้งไปสหภาพยุโรปเพียง 300 ตันเท่านั้น ซึ่งหากการเจรจาประสบความสำเร็จจะดันไทยส่งออกสู่ ระดับ 400,000 ตัน และมูลค่าส่งออกระดับแสนล้านได้อีกครั้ง

การแข่งขันกุ้งโลก ขณะนี้มีเรื่องกำแพงภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยไทยถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีที่ 19% ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับคู่แข่งหลักอย่าง เวียดนามที่ถูกเรียกเก็บภาษี 20% และ อินโดนีเซีย 19% ดังนั้นกุ้งไทยยังคงรักษาความสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้อย่างเต็มที่

สำหรับตลาดอินเดียที่ครองส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯเป็นอันดับ 1 ถึง 39% หรือประมาณ 300,000 ตัน และปี 2569 จะเป็นโอกาสของไทย เพราะตลาดตลาดกุ้งโลกมีการเปลี่ยนแปลงจากมาตรการภาษีทรัมป์ โดยเฉพาะอินเดียกำลังถูกภาษีทั้งภาษีทุ่มตลาด และภาษีอุดหนุน รวมแล้วเฉลี่ยกว่า 60% จากสหรัฐฯ ส่งผลให้อินเดียสูญเสียความสามารถแข่งขันอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มจะหายไปจากตลาดสหรัฐ ซึ่งจะเป็นโอกาสของกุ้งไทยให้เข้าไปแทนได้เกือบทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขหากมีกำลังผลิตเพียงพอ เพราะวันนี้ไทยผลิตเพียง 270,000 ตันเท่านั้น

ปี 2569 จะกลายเป็นโอกาสของกุ้งไทยทั้งในอเมริกา ยุโรป รวมถึงตลาดแคนาดาและเกาหลีใต้ แต่ปัญหาหลัก คือ กำลังผลิตของไทยลดลงอย่างหนัก จากที่เคยผลิตได้ 640,000 ตันเมื่อ 13 ปีที่แล้วเหลือเพียง 270,000 ตันในปีนี้ สาเหตุจากโรคในกุ้ง ทำให้มูลค่าการส่งออกหายไปกว่าครึ่ง หรือคิดเป็นความเสียหายรวม กว่า 650,000 ล้านบาท ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

ดังนั้นสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมกุ้งต้องการเรียกร้องจากรัฐบาล คือ การจัดสรรงบให้ 5,400 ล้านบาทเพื่อจัดทำแผนแม่บทปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมกุ้ง โดยจะเพื่อนำไปสู่การวิจัยแก้ปัญหาโรค การพัฒนาลูกพันธุ์ การลดต้นทุนอาหาร และเพิ่มประสิทธิภาพฟาร์ม เพื่อดันกำลังผลิตกลับสู่ระดับ 400,000 ตัน และมูลค่าส่งออกกลับสู่ 100,000 ล้านบาท เหมือนปี 2554

ราคาจูงใจ ทำ "กุ้งกุลาดำ" คัมแบ็ก 

นายกสมาคมฯ กล่าวถึง โอกาสกุ้งไทยว่ายังมีสูง ข้อมูลจากกรมประมง เผยว่าการบริโภคภายในประเทศมีประมาณ 100,000 ตันต่อปี เฉลี่ยการบริโภคต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้น จาก 1.1 กก./คน/ปี เป็น 2.68 กก./คน/ปี ซึ่งหากรวมถึงนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น คาดว่าการบริโคกุ้งจะเพิ่มขึ้นตา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนที่จะหันกลับมาเที่ยวไทย หลังจากที่รัฐบาลจีนเตือนประ ชาชนของตนเองเกี่ยวกับการเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น ดังนั้นหวังว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเติมอีก 10 ล้านคน ก็จะทำให้ตลาดอาหารทะเลคึกคัก

นอกจากกุ้งขาวที่เป็นผลผลิตหลักของไทยในการส่งออกแล้วและบริโภคแล้ว ผู้เลี้ยงกุ้งบางรายหันมาเลี้ยงกุ้งกุลาดำเพิ่มมากขึ้น ถึง 27% ของผลผลิตกุ้งกุลาดำเพิ่มขึ้น18% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30,000 ตันนับจากปี2552 ที่มีปริมาณเลี้ยงเพียง 3,500 ตัน

กุ้งขาว

กุ้งขาว

กุ้งขาว

โดยสาเหตุหลักๆมาจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไม่ประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงกุ้งขาว และราคาของกุ้งกุลาดำจูงใจมากกว่า สำหรับสายพันธุ์กุ้ง รวมทั้งประเทศมีลูกกุ้ง 34,000 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีปริมาณ 33,228 ล้านตัว หรือเพิ่มขึ้น 2%

น้ำท่วมใต้ ทำคนเลี้ยง "อ่วม" เสียหายพันล้าน

นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยถึง สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง ปัตตานี และสตูล นับว่าว่าเป็นวิกฤตที่กระทบทั้งชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยหนึ่งในภาคส่วนที่เสียหายหนักคือ อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยและเคยสร้างรายได้มากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี

พื้นที่ภาคใต้ตอนล่างเป็นแหล่งผลิตกุ้งสำคัญ คิดเป็น11% ของผลผลิตกุ้งทั้งประเทศ แต่ละปีผลิตกุ้งประมาณ 20,000–28,000 ตัน มูลค่า 3,000 ล้านบาท แต่น้ำท่วมครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างหนัก ตั้งแต่ปากพนัง นครศรีธรรมราช ขึ้นมาถึงสงขลา

โดยเฉพาะบริเวณอ.สิงหนครและพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงกุ้งหนาแน่น กุ้งที่ถูกน้ำพัดออกจากบ่อเสียหายประมาณ 500 ล้านบาท และยังมีเครื่องจักร อุปกรณ์ และปัจจัยการผลิตที่จมน้ำ เช่น เครื่องตีน้ำ มอเตอร์ไฟฟ้า ระบบไฟสำรอง อาหารกุ้ง และวัสดุฟาร์ม รวมมูลค่าความเสียหายในรอบนี้เฉพาะภาคใต้ตอนล่าง ไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท โดยภาพรวมมูลค่าการผลิตกุ้งทั่วประเทศปีนี้ราว 20,000 ล้านบาท ทำให้ความเสียหายคิดเป็นประมาณ 10%

นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงกุ้งประมาณ 20,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งขณะนี้กำลังขาดกำลังใจและขาดทุนจนยากจะเริ่มต้นใหม่ เนื่องจากเครื่องมือและระบบไฟฟ้าถูกทำลายทั้งหมด จึงมีข้อเสนอเร่งด่วนถึงรัฐบาล เร่งสำรวจความเสียหายโดยกรมประมงร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและทันต่อการช่วยเหลือออกมาตรการสนับสนุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ฟาร์มที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้เกษตรกรสามารถซื้ออุปกรณ์ใหม่และกลับมาดำเนินการฟาร์มต่อได้ นอกจากนี้ยังควรมีมาตรการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 ปี สำหรับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

กุ้งก้ามกราม

กุ้งก้ามกราม

กุ้งก้ามกราม

สำหรับความเสียหายของเกษตรกรผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาตใต้ 9 จังหวัด เฉพาะพื้นที่ด้านประมง แบ่งเป็น กุ้งก้ามกราม กุ้งทะเล หรือหอยทะเล เสียหาย 6,418.29ไร่ ปลา หรือสัตว์น้ำอื่น ที่เลี้ยงในบ่อดินนาข้าว หรือร่องสวน เสียหาย 12,718.85 ไร่ และสัตว์ตามข้อ1 และ2 ที่เลี้ยงในกระซัง หรือบ่อซีเมนต์ เสียหาย 115,401.92 ตารางเมตร ซึ่งถ้ารวมความเสียหายทั้งหมด19,137.14ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบ 13,272 ราย 91 อำเภอ มูลค่าความเสียหาย 285,280,742 บาท วงเงินช่วยเหลือ 176,140,496.16บาท

เสนอรัฐออกมาตรการชดเชย-เยียวยาผู้เลี้ยงกุ้งภาคใต้

นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า นอกจากมาตรการชดเชยในด้านต่างๆ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับ กรมประมง แล้ว ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐเข้ามาเยียวยาในเรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์การเลี้ยงกุ้งด้วย เช่น กระทรวงพลังงาน เข้ามามีบทบาทมาช่วยเกษตรกร ในการซ่อมสร้าง และ ซื้ออุปกรณ์ใหม่ ผ่าน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือปลอดดอกเบี้ย ระยะเวลา 1–2 ปี

หรือ ใช้มาตรการคนละครึ่ง เพื่อให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงกุ้งได้อีกครั้ง และเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนระบบอุปกรณ์การเลี้ยงกุ้ง สู่ โลว์คาร์บอน(Low Carbon) เพื่อรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น ขณะนี้ ต้องเร่งการสำรวจความเสียหายโดยเร็ว ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงกระทรวงพลังงาน เพื่อเร่งออกมาตรการเยียวยา ก่อนที่จะถึงฤดูการเลี้ยงกุ้งรอบใหม่ ในช่วงต้นปีที่ จะเริ่มเตรียมบ่อ ตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.พ.

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย

สำหรับผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจภาพรวมปี 2568 ประเทศไทยผลิตกุ้งรวมประมาณ 270,000 ตัน และส่งออกคิดเป็นมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อภาคใต้ตอนล่างซึ่งรับผิดชอบ 10–11% ของปริมาณผลิตเสียหายไป จะกระทบต่อทั้งยอดส่งออก ราคากุ้งในประเทศ และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ขณะที่สถานการณ์ผลผลิตกุ้งโลกคาดการณ์ว่า มีปริมาณ 5.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% มาจากประเทศผู้ผลิตหลักมีผลผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะเอกวาดอร์ มีผลผลิต 1.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% จีนมีผลผลิต 1.34 ล้านตัน เพิ่มขึ้น6%

19 องค์กรผู้เลี้ยงกุ้ง ผลักวาระแห่งชาติ "รัฐ" แก้ปัญหา

สมาคมกุ้งไทย จะร่วมกับ 19 องค์กรผู้เลี้ยงกุ้ง เตรียมทำข้อเสนอมาตรการเยียวยาดังกล่าว ยื่นต่อ นายกรัฐมนตรี รวมถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ที่เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ ผลักดันการแก้ไขปัญหาการผลิตกุ้ง เป็น วาระแห่งชาติ ให้ไทย กลับมามีศักยภาพทั้งการผลิต และการส่งออก เพราะเจอปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวน /และโรคระบาด จากเคยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลก เมื่อปี 2554-2555 สร้างรายได้เข้าประเทศ มากถึงปีละ 1 แสนล้านบาท และเคยผลิตกุ้งได้สูงสุด เกินกว่า 640,000 ตัน แต่ปัจจุบันในปี 2568 ภาพรวมผลผลิตกุ้ง มีปริมาณเพียง 270,000 ตัน เท่ากับปีที่ 2567 ผ่านมา ส่วนการส่งออกกุ้ง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค. 2568 ) ปรับตัวลดลง 6% ปริมาณรวม 106,306 ตัน มูลค่า 32,881 ล้านบาท

ดังนั้น จึงต้องการผลักดันการเพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพให้ได้อย่างน้อย 400,000 ตันต่อปี เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA กับประเทศนำเข้ากุ้ง ได้แก่ สหภาพยุโรป อังกฤษ และเกาหลีใต้ พร้อมทั้งยกระดับการทำฟาร์มกุ้งให้สามารถปรับตัวเข้าสู่การรับรองมาตรฐานสากลที่ตลาดต้องการ รวมถึงการดำเนินโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างความยั่งยืนมากขึ้น

อยากฝากถึงพรรคการเมือง ที่จะเสนอตัวเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า ซึ่งจะยื่นข้อเสนอดังกล่าว ไปถึงทุกพรรคการเมือง หลังยุบสภา เพื่อให้กำหนดนโยบายภาคการเกษตร โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมกุ้ง ให้กลับมามีความเข้มแข็ง เพราะ ปี 2569 เป็นปีที่ตลาดเปิดเต็มที่

สำหรับปัจจัยที่เป็นโอกาสของกุ้ง โดยเฉพาะอัตราภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal ในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐ ที่ปรับขึ้นอัตราภาษีการนำเข้าจากประเทศต่างๆ รวมถึงมาตรการภาษี ทั้ง การตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ AD (Anti-dumping) (ขายสินค้าในราคาต่ำกว่าราคาในประเทศผู้ผลิต) และการตอบโต้การอุดหนุน หรือ ซีวีดี CVD (Countervailing Duty) ซึ่งทำให้อินเดีย ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง แต่ต้องเสียภาษีรวมสูงถึง 50-60% เทียบกับไทยที่มีอัตราภาษีเพียง 19% ซึ่งจะทำให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคามากขึ้น

อ่านข่าว:

 เศรษฐกิจไทยติดหล่ม "เงินเฟ้อต่ำ" กำลังซื้อลด ผลักสู่ภาวะเงินฝืด ?

ชะตากรรม "ข้าวไทย" เผชิญคู่แข่งรอบด้าน ชาวนาจะรอดอย่างไร

เด็กไทยเกิดน้อย-สูงวัย “ล้นเมือง” ต่ออายุเกษียณ ทางออกหรือวิกฤต