ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปลุกรัฐรับมือ "น้ำท่วม" ทำเศรษฐกิจ "อัมพาต" เสียหายกว่าแสนล้าน

เศรษฐกิจ
17:16
29
ปลุกรัฐรับมือ "น้ำท่วม" ทำเศรษฐกิจ "อัมพาต" เสียหายกว่าแสนล้าน

ตัวเลขกระทรวงการคลัง ประเมินความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยทั่วประเทศทุกภูมิภาค ระบุว่าส่งผลกระทบโดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจสูงถึง 500,000ล้านบาท หากไล่เลียงตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค. 2568เมื่อไทย เผชิญสภาพอากาศที่แปรปรวนจากมรสุมและร่องมรสุมที่พัดผ่าน และหย่อมความกดอากาศต่ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

หอการค้าไทย ได้ประเมินความเสียหาย “น้ำท่วมภาคเหนือ” ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท หรือ 0.17% ของ GDP โดยพบว่า ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด คิดเป็นพื้นที่มากกว่า 1,166,992 ไร่ และมูลค่าความเสียหายสูงถึง 24,553 ล้านบาท หรือ 82.3% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด รองลงมาคือภาคบริการ ซึ่งได้รับความเสียหายเป็นมูลค่า 5,121 ล้านบาท ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 171 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่

สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดว่าพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในปี 2568 เฉพาะเหนือความเสียหายพื้นที่เกษตรจะอยู่ที่ 9.5 ล้านไร่ สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินราว 3.7 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าสินค้าเกษตรเสียหาย 1.99 หมื่นล้านบาท (กรณีฐาน) ทำให้ความเสียหายรวมกันอยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านบาท หรือ -0.13% ของ GDP ยังไม่ร่วมความเสียหายในพื้นทีรับน้ำในภาคอย่างอย่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ประชาชนได้รับความเดือนร้อนกว่า 72,000 หลังคาเรือน แต่เงินชดเชยที่รัฐบาลจ่ายให้กับประชาชนกลับเล็กน้อยกว่า เพียง 9,000 บาทต่อหลังคาเรือน

ทั้งนี้หากแบ่งเป็นการเกษตร ความเสียหายมากที่สุด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 24,553 ล้านบาท จากการทำลายพืชผลทางการเกษตรจำนวนมาก รองลงมาเป็นภาคท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบอย่างหนักจนมูลค่าความเสียหายอาจสูงถึง 2,000 ล้านบาท เนื่องจากเส้นทางการคมนาคมถูกตัดขาด และสถานที่ท่องเที่ยวถูกน้ำท่วม และภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ในวงจำกัดกว่าภาคเกษตรมูลค่าเสียหายประมาณ 171 ล้านบาท

ยังไม่รวมความเสียหายอื่นๆ เช่น ทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย บ้านเรือนได้รับความเสียหายกว่า 43,000 หลังคาเรือน ชีวิตและสุขภาพ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดการกัดเซาะดินและตลิ่ง การปนเปื้อนของสารเคมี และมลพิษในแหล่งน้ำ

โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก จ.เชียงราย ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 6,412 ล้านบาท รองลงมาเป็น จ.พะเยา เสียหาย 3,292 ล้านบาท จ.สุโขทัย เสียหาย 3,042 ล้านบาท ส่วนภาคอีสาน อย่างจ.หนองคาย เสียหาย 201.17 ล้านบาท และจ.สกลนคร เสียหายประมาณ 110.85 ล้านบาท ส่วนจ.เชียงใหม่คาดว่าความเสียหายมากกว่า 2,000 ล้านบาท

ล่าสุดช่วงปลายเดือนพ.ย.2568 “ภาตใต้” เกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เรียกได้ว่าในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้ สร้างเสียหายและสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างเรียกคืนไม่ได้หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว มีประชาชนเดือนร้อนกว่า 2.19 ล้านคน กระทบเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านบาท

เศรษฐกิจอัมพาต 10 จังหวัด เสียหาย 4 หมื่นล้าน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ (พ.ย.68) มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ 2.19 ล้านคน 798,695 ครัวเรือน ใน 10 จังหวัด สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านใน 1 เดือน กระทบ GDP ที่ 0.22% ซึ่งความเสียหายประมาณจากระบบเศรษฐกิจที่เป็นอัมพาต โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกปิดชั่วคราว ตลาด-ห้างสรรพสินค้าปิดกิจการ การคมนาคมหยุดชะงัก นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ยกเลิกการท่องเที่ยว ราคาตั๋วเครื่องบินพุ่งสูง จากการยกเลิกเที่ยวบินกิจกรรมระดับชาติถูกยกเลิก โดยเฉพาะซีเกมส์ 2025 ที่ถูกย้ายออกจากสงขลาทั้งหมด

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

สำหรับมูลค่าความเสียหาย หากจำแนกภาคเศรษฐกิจ พบว่า การท่องเที่ยวและบริการเสียหายมากกว่า 22,440 ล้านบาท เกษตรกรรม 10,720 ล้านบาท / การผลิตและสาธารณูปโภค 6840 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่ภาคบริการเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากมีการยกเลิกการจองและปิดสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ธุรกิจค้าปลีกร้านอาหารและโรงแรมในเมืองหลักปิดกิจการชั่วคราว และผลกระทบต่อเนื่องจากการยกเลิกกิจกรรมระดับชาติ คือ ซีเกมส์ ที่ทำลายความเชื่อมั่นและโอกาสทางเศรษฐกิจ

 "น้ำท่วมใต้" มหาอุทกภัย รุนแรงอันดับ2 รองจากปี2554

จากเหตุการณ์ฝนตกและน้ำท่วมในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้ เบื้องต้นกระทรวงการคลังได้ประเมินว่า ส่งผลให้เกิดความเสียหายในกรอบวงเงินเบื้องต้นประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับมหาอุทกภัยในปี 2554 ที่มีมูลค่าความเสียราว 1.4 ล้านล้านบาท กรณีนี้จึงถือเป็นอุทกภัยที่มีความเสียหายรุนแรงเป็นอันดับที่ 2 ของไทย

เสียงจากผู้ประกอบการ ต้องการ เงินสด ไม่ใช่“หนี้สิน โดยสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐโดยเร็วที่สุด 56.5% คือ เงินเยียวยาโดยตรงหรือเงินชดเชย 14.7% ต้องการให้ซ่อมแซมสาธารณูปโภค และ 10.6% ต้องการช่วยทำความสะอาดพื้นที่

ส่วนข้อเสนอเชิงรุก ขอให้มี 3 มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ 1. อัดฉีดเงินเยียวยาโดยตรง 2. เร่งซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน และ3. จัดหน่วยปฏิบัติการฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมปรับบทบาท สินเชื่อ ให้เป็นทางเลือกเสริม ไม่ใช่มาตรการหลัก ซึ่งมาตรการหลัก คือ “เงินเยียวยา” โดยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loans) ควรมีไว้ใช้สำหรับการลงทุนฟื้นฟูในระยะถัดไป ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ หอการค้าไทย ประเมินว่า จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผล กระทบต่อ GDP ไทย จากเติบโต 2% เหลือ 1.9% ในปี 2568

ด้านศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินความเสียหายจาก น้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรอย่างสวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะกระทบผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน เสียหาย 6,698 ล้านบาทใน 1 เดือน โดยยางพาราและปาล์มน้ำมันเสียหายจากน้ำท่วม เนื่องจากมีพื้นที่ปลูกหลักอยู่ในภาคใต้ โดยยางพารามีพื้นที่ปลูกอยู่ในภาคใต้ 57% จากทั้งประเทศ แหล่งผลิตหลักอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา และนครศรีธรรมราช ส่วนปาล์มน้ำมันมีพื้นที่ปลูกอยู่ในภาคใต้ 86% จากทั้งประเทศ แหล่งผลิตหลักอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ และชุมพร แบ่งเป็นความเสียหายของผลผลิตยางพารา 0.83 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 4,456 ล้านบาท และความเสียหายของผลผลิตปาล์มน้ำมัน 3.4 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 2,242 ล้านบาท

คาดท่องเที่ยวปี 69 หนุนเศรษฐกิจ ขยายตัว 1.6%

ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวอีกว่า หอการค้าได้ ได้ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 1.9% จาก 2% โดยเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการส่งออกที่โต 11.1% และการลงทุนของภาครัฐ 6.4% แต่ถูกฉุดรั้งด้วยการอุปโภคภาครัฐที่หดตัวแรงในไตรมาสที่ 3 และผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ช่วงปลายปี โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ( ธ.ค.68) จะขยายตัวชะลอลงที่ 1.6% โดยการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนของภาครัฐและเอกชน จะเป็นแรงหนุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

สำหรับปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวที่ที่ 35 ล้านคน และสร้างรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน คาดว่า จะขยายตัวที่ 2% และการลงทุนในงบลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 18.2% โดยมีเป้าเบิกจ่ายงบลงทุนสูงถึง 70% ในงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ภาคเกษตรได้ประโยชน์จากสภาพอากาศมีความเป็นกลางและปริมาณน้ำเพียงพอ และเม็ดเงินจากการเลือกตั้ง ที่คาดว่า จะอยู่ที่ 50,000-60,000 ล้านบาท

ลุ้น "ภาษีสหรัฐฯ" ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ภาษีสหรัฐฯ โดยคาดว่า การส่งออกของไทยในปี 68 จะหดตัว -1.0% จากการที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% ทั้งปี รวมถึงความเสี่ยงจากมาตรการตอบโต้การสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่อาจสูงถึง 40% หากการเจรจา Local Content ไม่สำเร็จ / ปัจจัยการเมือง หากงบประมาณรายจ่ายปี 2570 และการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า อาจฉุด GDP ลง -0.32%

เช่นเดียวกับ หนี้ครัวเรือน โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังสูงอยู่ที่ 86.3% ซึ่งกดดันให้สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นความเสี่ยงสำคัญเพราะหากมีการปิดด่านชายแดนตลอดทั้ง ปี 69 คาดว่า จะสร้างความเสียหายต่อมูลค่าส่งออกกว่า 1.4 แสนล้านบาทและกระทบกับ GDP ประมาณ -0.74% การค้าโลกชะลอ กดดันภาคการส่งออกสินค้าของไทย

มหาอุทภัยที่เกิดขึ้นกับคนไทยในหลายจังหวัดรอบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่หลังจากนี้ สิ่งที่รัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการคือ มาตรการรับมือและการเตรียมตัวตั้งรับกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้ประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนตั้งคำถามอีกว่า "รัฐบาล" กำลังทำอะไรอยู่?และถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องหากลไกและวิธีรับมือ ให้ทันกับสถานการณ์และให้เกิดความเสียหายให้น้อยที่สุด

อ่านข่าว:

ทางรอดวิกฤต "กุ้งไทย" บุกตลาดสหรัฐฯ หลัง "อินเดีย"โดนภาษีอ่วม

"รถน้ำท่วม" เคลมประกันอย่างไร คปภ.เผยเกณฑ์ประเมินค่าเสียหาย

ทีดีอาร์ไอ ห่วงเศรษฐกิจโตช้า กระทบปากท้อง-คนไทยหมดหวังย้ายประเทศ