วันนี้ (5 มี.ค.2564) สิงห์สยามโพล คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หัวข้อ “สถานการณ์ โควิด-19 ระลอกที่ 2 กับการเมือง 2564”
ผศ.ดร.จิดาภา ถิรศิริกุล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ แถลงผลสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตภาคกลาง หัวข้อ “สถานการณ์ โควิด-19 ระลอกที่ 2 กับการเมือง 2564” โดยสำรวจข้อมูลระหว่าง วันที่ 2-20 ก.พ.2564 จากกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และเขตภาคกลางที่มีอายุ ต่ำกว่า 18 ปี รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,328 ตัวอย่าง
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1GjLLhohs9HHkQpm4K8OP92MwO.jpg)
โดยใช้การสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบหลายขั้นตอน (Multi stage Random Sampling) โดยเบื้องต้นใช้วิธีการแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 เพื่อเลือกพื้นที่ในการเก็บข้อมูล
โดยแบ่งเป็น โรงเรียนของรัฐขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และใหญ่พิเศษ และดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เพื่อเก็บข้อมูลจากนักเรียนในโรงเรียนทั้ง 4 กลุ่ม
นักเรียน ม.ปลาย ไม่มีความสุขเรียนออนไลน์
ผลการสำรวจ พบว่า 1.นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสุขต่อการศึกษาในรูปแบบ online ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 42.5) รองลงมามีความสุขน้อย (ร้อยละ 33.4) ไม่พอใจ(ร้อยละ 14.5) และมีความสุขระดับมาก (ร้อยละ 9.6)
2.ด้านความมั่นใจในการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 ผลสำรวจพบว่า ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 53.9) รองลงมาคือระดับน้อย (ร้อยละ 27.1) ระดับมาก (ร้อยละ 14.8) และไม่ศึกษาต่อ (ร้อยละ 4.2)
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1GjLLhohs9HHkLTeSFffUC95wV.jpg)
พอใจมาตรการช่วยเหลือของรัฐไม่ถึงครึ่ง
3.ด้านความต้องการประกอบอาชีพในอนาคต หากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังไม่คลี่คลาย คือ ธุรกิจส่วนตัว (ร้อยละ 37.5) รองลงมาคือข้าราชการ (ร้อยละ 28.7) อาชีพอิสระ (ร้อยละ 19.0) รัฐวิสาหกิจ (ร้อยละ 4.2) บริษัทเอกชน (ร้อยละ 9.7) และเกษตรกร (ร้อยละ 0.9)
4.ด้านความพึงพอใจในการจัดการและมาตรการต่างๆ ของรัฐ ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 47.3) รองลงมาคือระดับน้อย (ร้อยละ 31.0) ระดับไม่พอใจ (ร้อยละ 17.2) และระดับพอใจมาก (ร้อยละ 4.5)
5.ด้านความสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารด้านโรคระบาดมากที่สุด ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 (ร้อยละ 35.3) รองลงมาคือ ข่าวบันเทิง (ร้อยละ 32.0) ข่าวการเมือง (ร้อยละ 19.6) และข่าวอื่น ๆ (ร้อยละ 13.0)
6.ด้านความเชื่อมั่นในการเข้าการร่วมชุมนุมทางการเมือง ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 52.4) รองลงมาคือระดับน้อย (ร้อยละ 21.1) ระดับมาก (ร้อยละ 17.2) และไม่เข้าร่วม (ร้อยละ 9.3)
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1GjLLhohs9HHkTcHhZzOYMRN4D.jpg)
ติดตามเรื่องการเมืองทางออนไลน์
7.เห็นด้วยกับการชุมนุมทางการเมือง ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 ในระบบออนไลน์ (Facebook, twitter, Line, IG) ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 48.5) รองลงมาคือระดับมาก (ร้อยละ 33.1) ระดับน้อย (ร้อยละ 14.2) และไม่เข้าร่วม (ร้อยละ 4.2)
8.หากรัฐบาลมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความประสงค์ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากรัฐบาลในระดับปานกลาง (ร้อยละ 45.5) รองลงมาคือระดับมาก (ร้อยละ 34.9) ระดับน้อย (ร้อยละ 14.2) และไม่เข้าร่วม (ร้อยละ 5.4)
ดร.จิดาภา กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง (ร้อยละ 59.7) รองลงมาเป็น เพศชาย (ร้อยละ 31.8) และเป็นกลุ่มเพศ LGBTQ (ร้อยละ 8.5) ส่วนใหญ่กำลังศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ร้อยละ 53.0)
รองลงมา มัธยมศึกษาปีที่ 4 (ร้อยละ 24.9) และมัธยมศึกษาปีที่ 5 (ร้อยละ 22.1) ส่วนใหญ่ได้รับค่าขนมไปโรงเรียน มากกว่าวันละ 101 บาท (ร้อยละ 57.0) และได้รับค่าขนมไม่เกินวันละ 100 บาท (ร้อยละ 43.0)
สำหรับข้อค้นพบจากการสำรวจ คือ ประการแรก ร้อยละ 42.5 เยาวชนมีการปรับตัวการเรียนออนไลน์ตามสถานการณ์ได้ดี แต่ไม่มีความสุขในระบบเพราะ (1) เรียนไม่รู้เรื่อง และ (2) มีภาระในการเรียนมากกว่าปกติ เช่น การทำแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง ร้อยละ 33.4
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1GjLLhohs9HHkhHbgNWozhTEKz.jpg)
วิกฤตโควิดทำให้คิดหนักเรื่องเรียนต่อปริญญาตรี
ประการที่สอง การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เป็นประเด็นที่เป็นภาระมากกว่าการออกมาทำงานหลังจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ในช่วงสถานการณ์ Covic-19 ส่วนใหญ่ จึงลังเล ในการเลือกศึกษาต่อ คิดเป็นร้อยละ 27.1
ประการที่สาม มองเห็นว่า ในช่วงสถานการณ์ Covic-19 การประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว กลายเป็นอาชีพที่มีความสนใจใกล้ตัวกับเยาวชน (ร้อยละ 37.5) เพราะไม่จำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาตรี และสนใจรับราชการ (ร้อยละ 28.7)
ประการที่สี่ เยาวชนโดยทั่วไปมองเห็นว่า มาตรการทั้งการแก้ไขปัญหาและความช่วยเหลือของรัฐ พอช่วยเหลือผู้ปกครองได้บ้าง แต่ไม่มากนัก จึงมีความพึงพอใจในระดับปานกลางและน้อยร้อยละ 47.3, 31.0 ตามลำดับ
ประการที่ห้า บทบาทสื่อในประเด็นเรื่องการแพร่ระบาด สามารถเข้าถึงเยาวชนได้ดีร้อยละ 35.3 ขณะที่ประเด็นด้านการเมืองนั้น ไม่มีผลต่อการสร้างแรงดึงดูดต่อเยาวชนได้มากนัก คิดเป็นร้อยละ 19.6 เท่านั้น
ประการที่หก การปลุกระดมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในบริบทปัจจุบัน ยังไม่สามารถกระตุ้นคิดเป็นร้อยละ 52.4 สอดคล้องกับ ประการที่เจ็ด การเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านออนไลน์ Facebook, twitter, Line, IG คิดเป็นร้อยละ 33.1
และประการที่แปดคือ แม้มีการฉีดวัคซีน เยาวชนก็มีความต้องการในการฉีดสูงคิดเป็นร้อยละ 45.5 แม้ว่าจะมีความลังเลอยู่บ้างคิดเป็นร้อยละ 14.2
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1GjLLhohs9HHkOc1fbx6wuxiQW.jpg)
ระบุเรียนต่อปริญญาตรีไม่คุ้ม ค่าใช้จ่ายสูง
ดร.จิดาภา กล่าวด้วยว่า เมื่อวิเคราะห์ผลการสำรวจ พบว่า 1.เยาวชนมีการปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี แม้จะได้รับผลกระทบโดยตรง จากการปฏิบัติตามมาตรการนโยบายรัฐเรื่องการจัดการเรียนการสอนออนไลน์เป็นหลัก จึงพบว่า โดยส่วนใหญ่ไม่มีความสุขในระบบเพราะ (1) เรียนไม่รู้เรื่องและ (2) มีภาระในการเรียนมากกว่าปกติ เช่น การทำแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง
2.การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เป็นประเด็นที่เป็นภาระ มากกว่าการออกมาทำงาน หลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายในช่วงสถานการณ์ Covic-19 โดยส่วนใหญ่ จึงลังเลในการเลือกศึกษาต่อ
3.กลุ่มตัวอย่างมองเห็นว่า ในช่วงสถานการณ์ Covic-19 การประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวกลายเป็นอาชีพที่มีความสนใจใกล้ตัวกับเยาวชน เพราะไม่จำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายสูง และเสียเวลาอีก 3-4 ปี แต่กลุ่มตัวอย่างอีกลุ่มยังมองเห็นว่า การรับราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นทางเลือกที่มีความมั่นคงสูงในสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าอาชีพอื่นๆ
4.เยาวชนโดยทั่วไปมองเห็นว่า มาตรการทั้งการแก้ไขปัญหาและความช่วยเหลือของรัฐพอช่วยเหลือผู้ปกครอง ได้บ้างแต่ไม่มากนัก จึงมีความพึงพอใจในระดับปานกลางและน้อยตามลำดับ
5.บทบาทสื่อในประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดสามารถเข้าถึงเยาวชนได้ดี ขณะที่ประเด็นด้านการเมืองนั้น ไม่มีผลต่อการสร้างแรงดึงดูดต่อเยาวชนได้มากนัก
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1GjLLhohs9HHkNAbUQtYI5ydVr.jpg)
เรื่องการเมืองครอบครัวยังมีอิทธิพลมากกว่าเพื่อน
6.ขณะเดียวกัน การปลุกระดมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในบริบทปัจจุบัน ยังไม่สามารถกระตุ้น การตัดสินใจของเยาวชนตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวแบบจริงจัง เพราะการเรียนในระบบออนไลน์ ทำให้เยาวชนอยู่กับครอบครัวที่มีอิทธิพลในการกล่อมเกลาทางการเมืองสูงกว่ากลุ่มเพื่อน
7.ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวผ่านระบบออนไลน์นั้น ยังมีบทบาทในทางการเมืองได้ใกล้ตัวกับเยาวชน เพราะเหตุจากความปลอดภัยที่มีมากกว่าการเข้าร่วมชุมนุมด้วยตนเอง จนกล่าวได้ว่า การเป็นนักเลงคีย์บอร์ดนั้นได้รับการยอมรับในหมู่เยาวชนสูง
8.แม้มีการฉีดวัคซีน เยาวชนก็มีความต้องการในการฉีดสูง แม้ว่าจะมีความลังเลอยู่บ้าง การสร้างความเชื่อมั่น ถึงความปลอดภัยย่อมทำให้เยาวชนกล้าตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีน