ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ หรือ ไทยรัฐพลัส ได้นำสำเนาเอกสารฉบับหนึ่ง มาเผยแพร่บนเว็บไซต์ เป็นการแจ้งผลชันสูตรซากสุกรที่ตาย ซึ่งตรวจที่ห้องแล็บของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwXLKj1ZvETefdyuOTTmLsqIeWC.png)
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwXLKj1ZvETefd5I7IZSMjpcsHz.png)
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwXLKj1ZvETefd0QPYOC3WYwC3V.png)
เอกสารระบุชัดว่า ตัวอย่างซากสุกรที่ส่งตรวจ ป่วยเป็นโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร และมีการระบุว่าผลการตรวจนี้ ได้รายงานไปให้ทางหน่วยงานในกรมปศุสัตว์เรียบร้อยแล้ว
เมื่อสอบถามไปที่ ผศ.นสพ.ณัฐวุฒิ รัตนวนิชย์โรจน์ รองคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน พบว่า สำเนาเอกสารเป็นผลการตรวจจริง แต่ไม่ทราบว่าถูกนำไปเผยแพร่ได้อย่างไร
สำหรับเคสที่ตรวจ เป็นสุกรที่ประชาชนเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนตาย จึงกังวลใจว่าสุกรที่ยังอยู่จะเป็นอย่างไร จึงนำมาให้ชันสูตร ผลชันสูตรพบว่า เป็นโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF)
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwXLKj1ZvETefd8ZrxqhWZg91B0.png)
ผศ.นสพ.ณัฐวุฒิ ยืนยันว่าเป็นผลตรวจเมื่อเดือน ธ.ค.2564 แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า การระบาดมีมานานเท่าใด และต้องสืบค้นหรือสอบสวนต่อถึงแหล่งที่มาของเชื้อ
เคสนี้ เราต้องดูว่าเขาติดมาจากไหน ปกติโรคอหิวาต์แอฟริกา จะติดต่อโดยการกิน สุกรตัวนี้กินอาหารเดียวกับเจ้าของ ถ้ามีการปนเปื้อนในอาหาร ก็มีโอกาสมีเชื้อนี้อยู่ในแหล่งวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหาร
สิ่งสำคัญที่อยากจะย้ำคือ โรค ASF ไม่ทำอันตรายต่อคนที่กิน หรือสัตว์ชนิดอื่น แต่คนหรือสัตว์ชนิดอื่น สามารถเป็นพาหะนำเชื้อไปสู่สุกรได้ เช่น นกไปกินเศษอาหารในขี้สุกรที่ติดเชื้อ แล้วบินไปฟาร์มอีกแห่งหนึ่ง หรือเชื้ออาจปะปนอยู่ในเนื้อสุกรที่ซื้อมาจากตลาด
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwXLKj1ZvETefdqrZa5Irr6tMGM.png)
ผศ.นสพ.ณัฐวุฒิ อธิบายว่าเชื้อมีขนาดใหญ่กว่าไวรัสปกติ และมีความทนทานกับความร้อน หากจะฆ่าให้ตาย ต้องปรุงอาหารด้วยความร้อน 80 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 15 นาที ส่วนมากการผัดและการต้มจะไม่ถึง 15 นาที เชื้อก็ยังอยู่ในเนื้อสุกรที่ปรุงสุก หากนำเนื้อสุกรไปแช่แข็งด้วยความเย็นจัด เชื้อก็อยู่ในเนื้อชิ้นนั้นได้ถึง 1,000 วัน หรือเกือบ 3 ปี
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwXLKj1ZvETefd3mexBlQMeCZnJ.png)
ผศ.เสกสม อาตมางกูร อดีตคณบดีคณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า รัฐต้องยอมรับก่อนว่าจริง ๆ แล้ว ขณะนี้มีการระบาดจากโรคอะไร เพื่อดำเนินการรื้อระบบโครงสร้างการเลี้ยงสุกรให้มีมาตรฐานสูง โดยรัฐต้องเป็นพี่เลี้ยงให้เกษตรกรขนาดเล็ก แต่ไม่ใช่เลี้ยงจุดเดิมที่เดิม เพราะเชื้อคาดว่ายังฝังตัวอยู่
ปล่อยให้เกษตรกร ทำโดยลำพังไม่ได้ กว่าจะหาที่ใหม่ต้องมีหลายขั้นตอน เงินทุนธนาคารก็ไม่ปล่อยให้แล้ว การแก้ปัญหาจึงต้องคุยกันทั้งหมด เอาปัญหามาบูรณาการกัน
ทั้งนี้ หากรัฐปล่อยให้เกษตรกรดิ้นรนเอง เชื่อว่าภายในไม่กี่ปีอุตสาหกรรมสุกรจะเหลือแค่ 4-5 ราย ดังนั้นหลักการเลี้ยงสุกรในอนาคต ไม่ควรเลี้ยงแบบใช้เศษอาหาร ต้องมีอาหารเฉพาะ
รัฐควรใช้โอกาสนี้ กำหนดแนวทางการเลี้ยงสุกรที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม โรค ASF ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งการทำลายต้องใช้วิธีเผาหรือฝังเท่านั้น