“ยาเสพติด” จะหมดไป ต่อเมื่อเกิดสันติภาพเท่านั้น

ภูมิภาค
17 มี.ค. 66
14:53
421
Logo Thai PBS
“ยาเสพติด” จะหมดไป ต่อเมื่อเกิดสันติภาพเท่านั้น
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
มีกองกำลังที่เข้มแข็ง พิสูจน์และยืนยันมาแล้วว่า สามารถใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อรองกับรัฐบาลทหารเมียนมาปัจจุบันได้ ทำให้ 3 ชาติพันธ์ทางตอนเหนือรัฐฉานต้องเพิ่มกำลังผลิตยาเสพติด เพียงเพื่อจัดหาอาวุธและกำลังพล เพื่อให้พวกเขาครองพื้นที่อิทธิพลปัจจุบันได้
ตอนนี้มหาศาล เช้านี้คนของเรารายงานว่า พบคนของกลุ่ม...แบกกระสอบปุ๋ยลงเรือที่ท่าสบหลวย ล่องตามน้ำโขง แน่นอนไอซ์ชัวร์ กำลังตามอยู่ว่าจะขึ้นไปพักไว้ฝั่งประเทศไหน สถานการณ์แบบนี้น่าจะยาวจนกว่าประเทศเขาสงบ

เจ้าหน้าที่หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศกล่าวกับ Thaipbs North

ขณะที่ พล.อ.ยอดศึก ประธานสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน 1 ในกองกำลังชาติพันธ์ติดอาวุธ ที่ทำสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศ เพื่อเจรจาสร้างสันติภาพในเมียนมา (NCA) บอกว่า “ทุกรัฐบาลของเมียนมา ตั่งแต่ อูเต็งเส่ง อองซาน ซูจี จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ทุกคนบอกว่าจะแก้ปัญหายาเสพติด แต่วันนี้ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข และทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี เพราะว่าพวกเขาเอาปัญหายาเสพติด มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง อย่างนี้ไม่มีวันสำเร็จ

หนุ่มหลาวเครือ หรือนายหลาวเครือ ชาวเมืองตองจี บอกว่า วันนี้รัฐฉานที่ถูกระบุว่าเป็นแหล่งผลิตยาเสพติด เต็มไปด้วยคนติดยาเสพติด ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะกลัวว่าคนกลุ่มนี้จะมาขโมยของ ส่วนคนรุ่นใหม่หันมาเสพยา และเริ่มไม่สนใจการศึกษา ตอนนี้สังคมรัฐฉานตกต่ำไปเรื่อยๆ

เดือนก.ค.2565 ถึงเดือนม.ค.2566 ทหารกองกำลังผาเมือง กองทัพภาคที่ 3 ปะทะคาราวานยาเสพติดหลายครั้ง กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเสียชีวิต มากถึง 48 คน จับกุมได้ 380 คน ยึดยาบ้า 65 ล้านเม็ด เฮโรอีน 12 กิโลกรัม ไอซ์ 126 กิโลกรัม

แม้กลุ่มยาเสพติดจะเสียชีวิตจำนวนมาก แต่พวกเขายังมีความพยายามที่จะลักลอบนำเข้าประเทศไทยทุกนาทีเมื่อสบโอกาส เพียงเพราะต้องเงินที่แลกเปลี่ยนกับยาเสพติด เพื่อเลี้ยงคนในกลุ่ม และเป็นกองทุนของกลุ่มในอนาคตหลังเมียนมามีเสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงอาวุธที่จะสร้างความมั่งคงและเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาล กับกลุ่มชาติพันธ์ด้วนกัน

ผศ.นพ.ดร.อภินันท์ อร่ามรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการสารเสพติด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า ยาเสพติดในเมียนมา วันนี้ไม่สามารถยุติการผลิตได้ เหตุเพราะความมาสงบในประเทศเมียนมา กลุ่มชาติพันธ์ต้องการเงินไปจัดหาอาวุธ และข้อจำกัดในเรื่องของกฎหมายที่ไม่ครอบคลุมในบางพื้นที่

ตลอดจนอำนาจของกลุ่มผู้มีอิทธิพล เช่น กลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่ไม่ได้รับการควบคุมจากรัฐบาลโดยตรง กลุ่มทุนจีนสีเทา ทำให้ไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่การค้ายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว การค้าอาวุธก็เป็นหนึ่งในการขยายอำนาจของกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธเช่นกัน

ส่วนประเทศไทยถือว่ามาถูกทางในการปราบปราม แต่อาจจะไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าการปราบปราบในทวีปยุโรป เพราะการสอบสวนไปถึงตัวการใหญ่ในการผลิตยาเสพติดยังไม่ดีเท่าที่ควร ที่ผ่านมาเป็นเพียงการปราบปราบผู้ค้ารายย่อย ซึ่งถือเป็นปลายทางของการจัดการ

ดังนั้นหากไทยต้องการจัดการปัญหาแบบยั่งยืน ต้องมีการร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน และต้องปราบปราบเครือข่ายที่ค้าและผลิตรายใหญ่ รวมไปถึงการควบคุมสารตั้งต้นที่จะนำไปเป็นส่วนประกอบในการผลิตยาเสพติดซึ่งขณะนี้ยังติดข้อจำกัดในบางพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน

ด้าน รศ.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งข้อสังเกตว่า การร่วมมือของกลุ่มประเทศในลุ่มน้ำโขง (กัมพูชา ,ลาว ,เมียนมา ,เวียดนาม และไทย) รวมไปถึงจีน ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าสถานการณ์ยาเสพติดดีขึ้น เพราะในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีตัวเลขยาเสพติดทะลักเข้ามาอย่างมหาศาล เพราะข้อจำกัดของข้อกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน

สิ่งที่ประเทศไทยพอจะทำได้ตอนนี้เพื่อป้องกันประเทศจากยาเสพติด คือการสร้างความเข้มแข็งในระดับของชุมชนแนวชายแดนให้ดี เพราะการขนส่งยาเสพติดจะใช้หมู่บ้านคู่ขนานบริเวณแนวชายแดน

วันนี้กลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดหลักในเมียนมา ยังเป็น 3 กลุ่มชาติพันธ์ใหญ่ ทางตอนเหนือรัฐฉาน ส่วนผู้ผลิตรอง เป็น 3 กลุ่มชาติพันธ์ทางตอนใต้ในรัฐฉาน โรงงานผลิตยาเสพติด 13 โรง และโรงงานส่วนใหญ่เริ่มปรับเปลี่ยนใหเพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายไปผลิตพื้นที่อื่นได้เมื่อถูกปราบปราม

สำหรับยาเสพติดที่ผลิตในรัฐฉานจะถูกส่งไปยังพื้นที่ 4 แห่ง คือ 1.เมืองลุยลี่ ประเทศจีน 2.เมืองต้นผึ้ง ประเทศลาว จากนั้นขบวนการจะลำเลียงไปตามจังหวัดชั้นในของลาว ปลายทางคือจังหวัดในภาคอีสานของประเทศไทย

3.จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และ เชียงราย ทางภาคเหนือประเทศไทย โดยสินค้าจะถูกแบ่งขายในประเทศ และส่วนหนึ่งถูกส่งชายส่งไปยังประเทศมาเลเซีย รวมทั้ง ยุโรป อเมริกา และ 4.ส่งไปเมืองมัณฑะเลย์ ของเมียนมาเอง จากนั้นจะจากลงเรือสินค้าปลายทาง คือประเทศสิงคโปร์ ยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง