ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ศึกสิบทิศ “ข้าวไทย” 2568 “สต็อก” โลกล้น เขย่าธุรกิจวงการค้า

เศรษฐกิจ
17:32
5,736
ศึกสิบทิศ “ข้าวไทย” 2568  “สต็อก” โลกล้น เขย่าธุรกิจวงการค้า
อ่านให้ฟัง
13:55อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ยังคงเจอปัญหารอบด้านสำหรับการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 หลังจากอินเดียกลับมาประกาศส่งออกข้าวขาวอีกครั้งในรอบเกือบ 2 ปี ส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศไม่สดใส ที่เริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงกลางปีที่แล้ว ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 25% เคยขายได้มากกว่าตันละ 10,000 บาท ปัจจุบันหล่นลงมาเหลือตันละ 7,000-8,000 บาท ในขณะที่ตลาดต่างประเทศต้องแข่งกับราคาข้าวของประเทศคู่แข่งที่ถูกว่าข้าวไทย 30-40 เหรียญต่อตัน ไม่นับรวมอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ถือเป็นความท้าทายอีกครั้งของข้าวไทย

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ให้สัมภาษณ์ กับ “ไทยพีบีเอสออนไลน์” ถึง สถานการณ์ข้าวไทยปี 2568 ว่า “เหนื่อย” ทั้งผู้ส่งออก ชาวนา โรงสี เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยรอบด้าน ทั้ง ปริมาณผลผลิตทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจากสภาพดินฟ้าอากาศที่เป็นใจ ส่งผลให้กดดันราคาข้าวในตลาดโลกเกิดความผันผวน การแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น ดังนั้นไทยต้องบริหารจัดการสต็อกข้าวให้ดี

โดยข้าวส่วนเพิ่มในปี 2568 คาดว่าจะมีผลผลิตประมาณ 34 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 22 ล้านตันข้าวสาร จากปกติผลผลิตจะเฉลี่ยที่ 31-32 ล้านตันข้าวสาร เมื่อแบ่งเป็นบริโภคในประเทศ 11 ล้านตันข้าวสารรวมเมล็ดพันธุ์ พบว่าปี 2568 ไทยมีปริมาณข้าวมากกว่าความต้องการในประเทศสูงถึง 11 ล้านตัน

ผลผลิตจากข้าวนาปีที่ให้ผลดี โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่สภาพอากาศเป็นใจทำให้ปริมาณและคุณภาพดีตามไปด้วย น้ำในเขื่อนมีปริมาณจุเกินกว่า 80% คาดว่าผลผลิตนาปรังจะดีด้วย

ส่งออกข้าวไทย 68 หืดจับ ฟันธง“ราคา” ปัจจัยหลัก

นายชูเกียรติ กล่าวอีกว่า ปี 2568 ประเทศไทยต้องทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยที่สำคัญสุด คือ “ราคา” ปัจจัยอีกอย่างหนึ่ง คือ ค่าเงินที่ผันผวน เพราะหากบาทอ่อนขีดความสามารถในการแข่งขันจะมากขึ้น เพราะทุก 1 บาท จะกระทบราคาข้าว 15-16 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขึ้นกับว่าบาทจะอ่อนหรือแข็งค่า ถ้าบาทแข็งต้องโค้ดราคาขึ้น อีก 15-16ดอลลาร์ สำหรับ “ข้าวขาว”

ขณะที่ราคาข้าวในประเทศไทยยังได้อานิสงค์จาก “อินเดีย” ที่แบนการส่งออกทำให้ตลาดข้าวของอินเดีย แชร์มาที่ ไทย เวียดนาม ปากีสถาน และเมียนมา ส่งผลให้ราคาข้าวสารขาวในประเทศที่ผ่านมาสูงแตะ 26,000 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาเฉลี่ยที่ 15,000 บาทต่อตัน สาเหตุเพราะอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้ง

ปี 2567 คาดว่าจะส่งออกได้ 9 ล้านตัน ได้ปัจจัยบวกจาก เอลนีโญ และ อินเดียแบนส่งออก และหลายประเทศผลผลิตลดลง ประกอบกับตลาดอินโดนีเซียมีการนำเข้าข้าวมากถึง 4 ล้านตันเป็นการนำเข้าจากไทย 5 ล้านตัน และที่เหลือจากเวียดนาม ปากีสถานและเมียนมา
ขณะที่ปี 2568 หลังจากที่อินเดียกลับมาส่งออกเต็มรูปแบบ

สิ่งที่ต้องมองไปข้างหน้า คือ อินเดียจะทวงคืนส่วนแบ่งตลาดที่หายไปกลับมา และเนื่องจากข้าวอินเดียมีราคา เฉลี่ย 440 ดอลลาร์ฯต่อตัน (ราคาFOB) โดยที่ข้าวไทยอยู่ที่ 480 ดอลลาร์ฯต่อตันห่างกัน40-50 ดอลลาร์ฯต่อตัน ซึ่งลูกค้าที่ซื้อข้าวไทยอาจกลับไปซื้อข้าวอินเดีย

อินเดีย เป็นเจ้าตลาดข้าว 5 ล้านตัน ไทยได้ส่วนแบ่ง 2 ล้านตัน ดังนั้น ปี2568 หากอินเดียทวงคืน 2 ล้านตันกลับส่งผลให้การส่งออกข้าวปีหน้าไทย อยู่ที่ 7 ล้านตัน เพราะปีหน้า คาดว่าอินเดียจะมีผลผลิตสูงถึง 142 ล้านตันข้าวสาร นับว่าสูงสุดเป็นประวิติการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่อินเดียจะรุกส่งออกหนัก

สต็อกข้าวโลก พุ่งกว่า 182 ล้านตัน

นายกกิตติมศักดิ์ ยังกล่าวถึง สถานการณ์ข้าวของโลก ว่า ข้อมูลจาก USDA ระบุว่า ปี2568 การผลิตข้าวของทั้งโลกเพิ่มขึ้นทั้งผลผลิต การบริโภค และการค้าข้าว โดยด้านการผลิตโลก มีปริมาณ 530.44 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้น 1.7% เทียบกับปี2567 ที่มีปริมาณผลผลิต 521.52 ล้านตันข้าวสาร เป็นการบริโภคเพิ่มขึ้น 1.3% หรือ 528.07 ล้านตันข้าวสาร และการค้าโลกเพิ่มขึ้น 0.03% หรือ 56.31 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งจากปริมาณดังกล่าวส่งผลให้โลกมีสต็อกข้าวเพิ่มขึ้น 1.3%เทียบกับปี2567 โดยมีปริมาณ 182.19 ล้านตันข้าวสาร

ทั้งนี้หากแบ่งเป็นสต็อกข้าวของประเทศสำคัญ พบว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่มีสต็อกข้าวมากที่สุด และเพิ่มขึ้นจากปี2567 โดยมีปริมาณ 14 ล้านตันข้าวสาร รองมาเป็น อินเดีย 43 ล้านตันข้าวสาร , อินโดนีเซีย แม้ว่าสต็อกข้าวที่ลดลง 18.1% จาก 5.52 ล้านตันข้าวสาร เหลือ 4.52 ล้านตันข้าวสาร แต่อินโดนีเซียยังคงมีสต็อกข้าวเป็นเบอร์ 3 ของโลก นอกจากนี้ยังมี ฟิลิปปินส์ ปริมาณ 3.70 ล้านตันข้าวสาร ,ปากีสถาน ปริมาณ 2 ล้านตันข้าวสารส่วน ไทย อยู่อันดับ 5 ที่มีการคาดว่าจะมีปริมาณสต็อกข้าว2.85 ล้านตันข้าวสาร

ส่วนการผลิตข้าวโลก จีนยังคงเป็นเบอร์หนึ่งที่มีผลผลิตข้าวมากที่สุด 146 ล้านตันข้าวสาร รองลงมาเป็น อินเดีย มีผลผลิต 142 ล้านตันข้าวสาร, บังกาลาเทศ มีผลผลิตเป็นอันดับ 3 ที่ 37.30 ล้านตันข้าวสาร ,อินโดนีเซียมีผลผลิต 34 ล้านตันข้าวสาร ,เวียดนามแม้ว่าผลผลิตจะลดลงเหลือ 26.50 ล้านตันข้าวสาร แต่สูงกว่าไทยที่มีผลผลิต 20.10 ล้านตันข้าวสาร

สถานการณ์ปีหน้าดูแล้วมีปัจจัยลบมาก สิ่งที่จะช่วยได้ คือ ค่าเงินบาท หากอ่อนค่าและมีเสถียรภาพอาจทำให้การส่งออกสู้กับคู่แข่งได้คาดกว่าการส่งออกปี 2568 น่าจะมากกว่า 7 ล้านตัน

เกษตรกร ปลูกพืชอื่นทดแทน ลดพื้นที่ปลูกข้าว

สำหรับผลผลิตข้าวของไทย ปีการเพาะปลูก 2567/2568 ข้าวนาปี มีพื้นที่เพาะปลูก 62 ล้านไร่ ซึ่งลดลงจากปีก่อน78,432 ไร่ หรือ 0.13% เนื้อที่เกี่ยว 60.280 ล้านไร่ ลดลง 7,686 ไร่หรือ 0.01% มีผลผลิต 27 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น 72,959 ตันข้าวเปลือก หรือ 0.27% ให้ผลผลิตต่อเนื้อที่ปลูก 435 กก.ต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1กก.ต่อไร่ หรือ 0.23% มีผลผลิตเนื้อที่เก็บเกี่ยว 448 กก.ต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1กก.ต่อไร่ หรือ 0.22%

ทั้งนี้เนื้อที่เพาะปลูกที่ลดลง เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกอ้อยโรงงานที่มีการส่งเสริมจากโรงงานน้ำตาล และเปลี่ยนไปปลูกมันสำปะหลังโรงงานในพื้นที่นาดอนในช่วงต้นฤดูการเพาะปลูกที่ฝนมาล่าช้าทำให้มีน้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก และบางส่วนเปลี่ยนไปปลูกปาล์มน้ำมันที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทั้งนี้พื้นที่ปลูกที่ลดลงถือว่ายังไม่มากเนื่องจากราคาข้าวยังจูงใจให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ปล่อยว่าง

ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ทำให้เพียงต่อการเติบโตของต้นข้าวส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตข้าวทั้งประเทศเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ชี้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกลดลงจากปีก่อน เนื่องจากบางพื้นที่เกษตรกรได้มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกอ้อยโรงงานซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นจ. นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และบางส่วนหันไปปลูกมันสำปะหลังในนาดอน เช่น อุบลราชธานี อำนาจเจริญ อุดรธานี ยโสธร อย่างไรก็ตามแม้ว่าเกษตรกรจะปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอื่น แต่พื้นที่ด้วยราคาข้าวที่ดียังคงจูงใจให้เกษตรกรปลูกข้าวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้น 13.412 ล้านตันข้าวเปลือก

จากการสอบถามชาวนาในพื้นที่จ.อุบลราชธานี บอกว่า ราคาข้าวเปลือกตอนนี้ถือว่าดี แต่ก็ไม่สูงเท่ากับช่วงที่อินเดียแบนการส่งออกข้าว ซึ่งถ้าเทียบกับต้นทุนการปลูกยังถือว่าไม่เพียงพอ ซึ่งอยากให้รัฐบาลได้โครงการไร่ละ 1,000 บาท เหมือนเดิม

รับมือ อินเดีย ทวงคืนตลาด “ข้าวขาว”

นายวันนิวัต กิติเรียงลาภ รองเลขาธิการ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปีหน้าอินเดียจะกลับมาทวงคืนตลาดข้าวขาว ซึ่งเป็นตลาดขาวที่ใหญ่ของไทย ดังนั้น ปี 2568 คาดการณ์การส่งออกข้าวจะมีปริมาณ 7 ล้านตัน แบ่งเป็น ข้าวขาว 3-3.5 ล้านตัน และกลุ่มข้าวนึ่ง 1.5 ล้านตัน รวมประมาณ 5 ล้านตัน และเมื่อรวมข้าวหอมมะลิ 1.3 ล้านตัน ข้าวหอมปทุม 3.6 แสนตัน และข้าวเหนียว 1.4-1.7 แสนตัน

ไทยต้องวางแผนที่จะส่งออกข้าวพื้นที่นุ่น 3-4 แสนตันไปในตลาดฟิลิปปินส์ , และมาเลเซีย หากทำได้จะทำให้ภาพรวมการส่งออกข้าวไทยมีปริมาณที่สูงขึ้นได้

สำหรับการส่งออกข้าวเดือนม.ค.-ก.ย.2567 มีปริมาณ 7,448,941 ตัน เพิ่มขึ้น 22%มูลค่า172,019.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46 % เป็นสัญญาณที่ดีว่าการส่งออกข้าวของไทยปี 2567 น่าจะแตะ 9 ล้านตัน ส่งต่อมาถึงราคาข้าวในประเทศที่ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี โดยข้าวเปลือกเจ้า(ความชื้น15%) จ.อยุธยา ตันละ 9,500-9,900 บาท ส่วนข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ (67/68) จ.บุรีรัมย์ ตันละ 14,200-14,700 บาท

ผู้บริโภคอุ่นใจ ข้าวถุงยังไม่ปรับราคา

นายสมเกียรติ มรรคยาธร เลขาธิการสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า แม้ว่าที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกและข้าวสารจะปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ข้าวถุงไม่มีการปรับราคา เพราะตลาดมีการแข่งขันสูง และช่วงที่ผ่านมามีการเปิดตลาดข้าวใหม่ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม “ข้าวหอม”เป็นการผสมระหว่างข้าวขาวกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งผู้บริโภคให้การตอบรับเพราะเป็นกลุ่มข้าวนุ่มที่มีคุณภาพ แต่ราคาไม่สูงเท่าข้าวหอมมะลิ

“ราคายังเป็นปัจจัยสำคัญเพราะกำลังซื้อผู้บริโภคยังทรงตัว ทำให้ตลาดข้าวหอมยังสามารถเติบโตได้ ส่วนข้าวขาวและข้าวหอมมะลิ การแข่งขันยังสูง การปรับราคาจึงไม่ใช่ทางเลือกของธุรกิจข้าวถึงตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงปีหน้า”

อ่านข่าว:

ถึงเวลา ? ชาวนาไทยปรับตัวรับเทรนด์โลก ผลิต "ข้าว"คาร์บอนต่ำ

บอร์ด กอน.ไฟเขียวเปิดหีบอ้อย ปี 67/68 เริ่ม 6 ธ.ค. นี้

กระทรวงเกษตรฯ เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่