ขึ้นเวทีปราศรัยทีไร เป็นได้เรื่องทุกที คราวนี้เป็นคิวหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น ชิงนายกเทศบาลนครเชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ใช้จังหวะ “ปิ๊กบ้าน” ให้คนใกล้ชิดได้รดน้ำดำหัวสงกรานต์ ขึ้นเวทีหาเสียงให้นายอัศนี บุรณุปกรณ์ ทายาทบ้านใหญ่ การเมืองท้องถิ่นเชียงใหม่
นายอัศนีเป็นนายกฯ เล็กเชียงใหม่ มาแล้ว 1 สมัย ครั้งนี้จึงเป็นการรักษาแชมป์ และมีความสำคัญ เพราะจะช่วยสานฝันของนายทักษิณ ที่ต้องการให้เชียงใหม่กลับมาเป็นเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทยให้ได้
ดังที่ได้เห็นการพูดอ้อนชาวเชียงใหม่ ไม่ต้องใช้ใคร ให้ใช้นายทักษิณกับลูกก็พอ ต่อไปเขตเลือกตั้งไหนเลือกพรรคก้าวไกล ครั้งหน้าให้เลือกพรรคเพื่อไทย คืน สส.ให้พรรค ให้มีเสียง 300 เสียงขึ้นไป จะได้สามารถทำงานได้ไว ไม่ต้องพึ่งพรรคอื่น
ตอนนี้นายก อบจ.เชียงใหม่ทำได้สำเร็จแล้ว จึงเหลือนายกฯ เล็กเชียงใหม่ ที่หมายมั่นปั้นมือว่า นายอัศนี จะได้ไปต่ออีก 1 สมัย โดยมีคู่แข่งสำคัญ เป็นคนหน้าเดิมในการแข่งขันเมื่อปี 2564 นายธีรวุฒิ แก้วฟอง จากพรรคประชาชน
จึงเป็นที่มาของคำปราศรัยเมื่อวันอาทิตย์ ที่นายทักษิณประกาศบนเวทีว่า พรรคประชาชนไม่ใช่คู่แข่ง เพราะจะสู้ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยไม่ได้ พร้อมซัดใส่ “หัวหน้าเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ว่า เป็นหนุ่มสึ่งตึง
คำว่า “สึ่งตึง” เป็นภาษาเหนือ (คำเมือง) แปลว่า โง่เง่า หรือ ซื่อบื้อ ส่วนคำว่า “คนสึ่งตึง” แปลว่า คนที่ไม่ค่อยเต็มบาท บ้าๆ บอๆ เปรียบเปรยถึงคนที่ทำอะไรงุ่มง่าม หรือขาดไหวพริบบางครั้ง แต่ไม่ได้หมายถึงคนปัญญาอ่อน
น่าจะถือเป็นการโต้กลับ กรณีนายณัฐพงษ์ตั้งโต๊ะแถลงกับสื่อในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ของพรรค เมื่อ 27 เม.ย. ซึ่งนายณัฐพงษ์ ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีการแถลงขอโทษว่า ได้ทำผิดต่อประชาชนอย่างจริงจังเสียก่อน
กลายเป็นชนวนนำไปสู่เสียงวิพากษ์กันมากในโลกโซเซียล และนำไปสู่การออกโรงโต้กลับนายทักษิณของของคนในพรรคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล หรือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
โดยเฉพาะประเด็นนายทักษิณ ปรามาสหัวหน้าพรรคเป็นหนุ่มสึ่งตึง โดยยืนยันว่า นายณัฐพงษ์ มีวุฒิภาวะ และพรรคมีจุดยืนชัดเจนสำหรับการแก้ไขปัญหาของประเทศต้องทำจริงจัง ไม่ทำแบบปะผุ
ส่วนผู้สมัครจากพรรคประชาชนจะได้รับเลือกหรือไม่ อยู่ที่ชาวเชียงใหม่ ไม่ใช่นายทักษิณ ทั้งแสดงความมั่นใจว่า เมื่อดูจากคะแนนการเลือกตั้ง สส. และเลือกตั้ง อบจ. ที่ผ่านมา คนของพรรคก็มีโอกาส
ไม่เพียง 2 แกนนำ แต่ยังรวมทั้ง “หนุ่มคนเมือง” ของแท้ นายวีระเดช ภู่พิสิฐ หรือ นายกเฮง นายก อบจ. ลำพูน ที่ตอบโต่กลับด้วยภาษาเหนือว่า “คนเฒ่านี่มันวอกนัก ใครเขาไม่เห็นด้วย ก็หาว่าเขาสึ่งตึง หาว่าไม่มีใครคบเลยตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทั้งที่เดิมทีคบกันอยู่ แต่ไม่กี่วัน กลับไปคบชู้เสียนี่”
ทำนองแรงมาแรงตอบ เมื่อด้อยค่าคนอื่นด้วยการพูด (อู้) กำเมืองได้ ก็โดนย้อนเจ็บ ๆ ด้วยการอู้กำเมืองได้เช่นกัน เพราะคำว่า “วอก” ในภาษาเหนือ นอกจากหมายถึงสัตว์จำพวกลิงแล้ว ยังใช้เปรียบกับคนปลิ้นปล้อนไม่อยู่กับร่องกับรอยว่า คนหัววอก
จึงกลายเป็นสงครามภาษาเหนือ (กำเมือง) ระหว่างหนุ่มสึ่งตึงกับเฒ่าวอก ที่เกิดขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ที่เล่นสาดน้ำชุ่มฉ่ำ กลายเป็นสาดภาษาเหนือใส่กัน ในช่วงเวลาที่สภาพอากาศประเทศไทยแปรปรวน จนเกิดความเป็นห่วงว่า แม้แต่ผู้คนก็อาจเพี้ยนจากสภาพอากาศที่มีทั้งร้อน ร้อนจัด ฝนฟ้าคะนอง พายุฤดูร้อน ฝนตก ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก รวมทั้งฟ้าผ่า
ความจริงนายทักษิณ ซึ่งเป็น “ลูกคนเมือง” เกิดและเติบโตที่เชียงใหม่ตลอด มักชอบที่จะใช้กำเมืองประกอบการปราศรัยหาเสียงอยู่เนือง ๆ ด้านหนึ่งถือว่าเป็นการสร้างสีสันในการปราศรัย อีกด้านหนึ่งถือเป็นการเหน็บคู่แข่งในที
อย่างเมื่อครั้งหาเสียงนายก อบจ. ช่วยนายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2567 ตอนนั้นก็เหน็บ พรรคประชาชน ที่คู่แข่งสำคัญ ไม่ว้าจะเป็น ขี้จุ๊ ขี้ขอย
ขี้จุ๊ แปลว่า โกหก ขี้ขอย แปลว่า อิจฉาเห็นใครดีกว่าไม่ได้ พูดเก่ง แต่ยะบ่จ่าง คือคุยเก่งแต่ถึงเวลาจริงทำงานไม่เป็น และวลีเด็ด “ฮาบ่ละมันไว้เป๋นป้อ แม้ฮาจะแก่แล้ว คิงซัดฮามา ฮาซัดคิงไป ไม่ต้องเอาแล้วพระเอกเกาหลี เอาพ่อนางเอกหนังจีนไว้ใช้งานดีกว่า
ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้ง ที่นายทักษิณงัดภาษาเหนือ (กำเมือง) มาพูด (อู้) บนเวทีหาเสียง จนกลายเป็นไวรัลวิพากษ์กันมากบนสื่อโซเชียล แต่จะส่งผลถึงการเลือกตั้งนายกฯ เล็ก และ ทน.(สมาชิกสภาเทศบาลนคร) แค่ไหน ต้อรอติดตามผล 11 พฤษภาคม 2568
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ครม.มีมติแต่งตั้ง "ผู้ว่าฯยะลา - ผู้ว่าการ กฟภ."