เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่นนครรัฐวาติกัน ควันสีขาวลอยขึ้นจากปล่องควันเหนือโบสถ์น้อยซิสทีน เมื่อเวลา 18:08 น. (23:08 น. ตามเวลาประเทศไทย) สัญญาณแห่งความยินดีของคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก หลังคณะพระคาร์ดินัล 133 รูปในการประชุมลับ คอนเคลฟ สามารถเลือกประมุขแห่งพระศาสนจักรคาทอลิกองค์ใหม่ได้สำเร็จในวันที่ 2 ของการประชุม
เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มทั่วจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ เมื่อพระคาร์ดินัลโดมินิก ม็องแบร์ตี ประกาศคำว่า "Habemus Papam" หรือ "เรามีพระสันตะปาปาแล้ว" ตามด้วยการปรากฏพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ณ ระเบียงกลางของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 เดิมคือ พระคาร์ดินัล โรเบิร์ต ฟรานซิส เพรวอสต์ ชาวอเมริกันวัย 69 ปี จากเมืองชิคาโก ทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 267 และเป็นชาวอเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ศาสนจักรคาทอลิก การเลือกพระนาม "เลโอ" ซึ่งแปลว่า "สิงโต" ในภาษาละติน สื่อถึงความเข้มแข็ง กล้าหาญ และความเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยเมตตา

ไทยพีบีเอสออนไลน์ชวนเจาะลึกถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงเลือกพระนามนี้ และ 10 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับผู้นำศาสนจักรคนใหม่
ทำไมต้อง "เลโอ ที่ 14" ?
พระนาม "เลโอ" เป็น 1 ในพระนามที่ได้รับความนิยมในหมู่พระสันตะปาปา โดยมีพระสันตะปาปา 13 องค์ก่อนหน้านี้ที่ใช้พระนามนี้ ทำให้ "เลโอ" เป็นพระนามที่ได้รับเลือกมากเป็นอันดับ 4 ร่วมกับพระนาม "เคลเมนต์" รองจาก "จอห์น" "เกรกอรี" และ "เบเนดิกต์"
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 สิ้นพระชนม์ในปี 2446 ก็ไม่มีพระสันตะปาปาองค์ใดเลือกพระนามนี้มานานถึง 122 ปี การที่พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ทรงเลือกพระนามนี้จึงมีความหมายลึกซึ้งทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวิสัยทัศน์ของพระองค์
สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ซึ่งครองตำแหน่งระหว่างปี 2421-2446 เป็นที่จดจำจากเอกสาร "Rerum Novarum" ในปี 2434 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของหลักคำสอนด้านสังคมสมัยใหม่ของศาสนจักรคาทอลิก เอกสารฉบับนี้วิพากษ์ผลกระทบของปฏิวัติอุตสาหกรรมต่อแรงงาน เรียกร้องความยุติธรรมทางสังคม สิทธิของผู้ใช้แรงงาน และการปกป้องผู้ยากไร้
นายมัตเตโอ บรูนี โฆษกวาติกัน ระบุว่า การเลือกพระนาม "เลโอ" ของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 เป็นการแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการสานต่อหลักคำสอนนี้ โดยเฉพาะในยุคที่โลกเผชิญการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตแรงงานไม่ต่างจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

แรงบันดาลใจจาก "Leo the great - เลโอมหาราช"
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 1 หรือ "เลโอมหาราช" ซึ่งครองตำแหน่งในศตวรรษที่ 5 เป็น 1 ในพระสันตะปาปาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงเป็นที่จดจำจากการเจรจากับแอตทิลา ผู้นำชาวฮัน ในปี 452 เพื่อหยุดยั้งการรุกรานจักรวรรดิโรมัน การเจรจาครั้งนั้น ซึ่งถูกบันทึกในภาพวาดของราฟาเอลในปี 1514 มีการจัดแสดงในวัง Apostolica ของวาติกัน แสดงถึงพลังของสันติวิธีและความกล้าหาญของพระสันตะปาปาที่เผชิญหน้ากับศัตรูโดยปราศจากอาวุธ
สุนทรพจน์แรกของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ที่ตรัสว่า "สันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งหลาย" สะท้อนถึงแรงบันดาลใจจากเลโอมหาราชในการนำสันติภาพมาสู่โลกที่แตกแยก
คำว่า "เลโอ" ในภาษาละตินแปลว่า "สิงโต" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และความเป็นผู้นำ ในขณะเดียวกัน พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ทรงแสดงถึงความเมตตาและความอ่อนน้อมผ่านการทำงานมิชชันนารีในเปรูและการอุทิศตนเพื่อผู้ถูกกีดกัน การเลือกพระนามนี้จึงเป็นการผสานพลังของสิงโตเข้ากับหัวใจของผู้รับใช้
13 รายพระนามที่ "โป๊ป" เลือกใช้มากกว่า 5 ครั้ง
- จอห์น (John) 21 ครั้ง
- เกรกอรี (Gregory) 16 ครั้ง
- เบเนดิกต์ (Benedict) 15 ครั้ง
- เคลเมนต์ (Clement) 14 ครั้ง
- เลโอ (Leo) 14 ครั้ง
- อินโนเซนต์ (Innocent) 13 ครั้ง
- ปิอุส (Pius) 12 ครั้ง
- สตีเฟน (Stephen) 9 ครั้ง
- โบนิเฟซ (Boniface) 9 ครั้ง
- เออร์บัน (Urban) 8 ครั้ง
- อเล็กซานเดอร์ (Alexander) 7 ครั้ง
- เอเดรียน (Adrian) 6 ครั้ง
- พอล (Paul) 6 ครั้ง

ทำไมโป๊ปต้องเปลี่ยนพระนาม ?
การที่พระสันตะปาปาทรงเปลี่ยนพระนามเมื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง เป็นประเพณีที่มีรากฐานยาวนานในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งมีเหตุผลทั้งในแง่สัญลักษณ์ ศาสนา และประวัติศาสตร์ ดังนี้
สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่
การเปลี่ยนชื่อเมื่อขึ้นเป็นพระสันตะปาปาเปรียบเสมือนการ "เกิดใหม่" ในฐานะผู้นำสูงสุดของศาสนจักรคาทอลิก ชื่อใหม่นี้สะท้อนถึงการละทิ้งอัตลักษณ์เดิมในฐานะบุคคลธรรมดา และการรับบทบาทใหม่ในฐานะ "ผู้รับใช้ของผู้รับใช้พระเจ้า" (Servus Servorum Dei) ซึ่งเป็นสมญานามของพระสันตะปาปา ชื่อใหม่นี้ยังแสดงถึงการเริ่มต้นภารกิจใหม่ในชีวิตที่อุทิศแด่การนำพาศาสนจักรและคริสตชนทั่วโลก
การเชื่อมโยงกับประเพณีและประวัติศาสตร์ของศาสนจักร
การเลือกพระนามใหม่ มักเป็นการระลึกถึงพระสันตะปาปาในอดีตที่มีคุณูปการหรือมีความสำคัญต่อศาสนจักร เช่น การที่สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ทรงเลือกพระนาม "เลโอ" เพื่อสานต่อมรดกของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ผู้เน้นหลักคำสอนด้านสังคม หรือ เลโอมหาราช (เลโอ ที่ 1) ผู้เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ชื่อที่เลือกจึงเป็นการแสดงเจตจำนงของพระสันตะปาปาองค์ใหม่ว่าจะเดินตามรอยหรือเน้นภารกิจในแนวทางใด
การเลียนแบบธรรมเนียมของอัครสาวก
ประเพณีนี้มีรากฐานจากคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งอัครสาวกบางคนได้รับชื่อใหม่จากพระเยซูเมื่อได้รับเรียกให้ปฏิบัติภารกิจ เช่น ซีโมนที่ได้รับพระนามใหม่ว่า "เปโตร" ที่แปลว่า "ศิลา" ซึ่งกลายเป็นอัครสาวกคนแรกที่เป็นรากฐานของศาสนจักร (มัทธิว 16:18) การเปลี่ยนชื่อของพระสันตะปาปาจึงเป็นการเลียนแบบธรรมเนียมนี้ เพื่อแสดงถึงการรับพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการเป็น "ผู้สืบตำแหน่งของนักบุญเปโตร" ซึ่งถือเป็นสมญานามของพระสันตะปาปา
การหลีกเลี่ยงความสับสนและสร้างเอกลักษณ์
พระนามใหม่ช่วยแยกแยะตัวตนของพระสันตะปาปาออกจากชื่อเดิมในชีวิตฆราวาส และช่วยให้คริสตชนทั่วโลกจดจำได้ง่ายขึ้น พระนามที่เลือกมักมีความหมายหรือเชื่อมโยงกับคุณค่าทางจิตวิญญาณ เช่น "เลโอ" ที่แปลว่า "สิงโต" สื่อถึงความเข้มแข็งและความกล้าหาญ หรือ "ฟรานซิส" ที่พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเลือกเพื่อระลึกถึงนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี ผู้เป็นสัญลักษณ์ของความยากจนและความเรียบง่าย
การแสดงถึงความอ่อนน้อมและการถวายตัว
การเปลี่ยนพระนามยังสะท้อนถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระสันตะปาปา โดยการละทิ้งพระนามเดิมที่ใช้ในชีวิตส่วนตัว แสดงถึงการถวายตัวทั้งหมดแด่พระเจ้าและศาสนจักร พระนามใหม่ที่เลือกมักสะท้อนถึงค่านิยมหรือพันธกิจที่พระสันตะปาปาองค์นั้นต้องการเน้น เช่น การเลือกชื่อ "เบเนดิกต์" แปลว่าผู้ได้รับพร หรือ "เคลเมนต์" แปลว่าผู้เปี่ยมเมตตา

จุดเริ่มต้นของประเพณีการเปลี่ยนพระนามโป๊ป
ประเพณีการเปลี่ยนพระนาม เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในช่วงศตวรรษที่ 6 โดยพระสันตะปาปาคนแรกที่เปลี่ยนพระนามคือ พระสันตะปาปาเมอร์คิวรี (Mercurius) ซึ่งขึ้นครองตำแหน่งในปี 533 และเปลี่ยนพระนามเป็น พระสันตะปาปาจอห์นที่ 2 เนื่องจากพระนาม "เมอร์คิวรี" มาจากชื่อเทพเจ้าโรมัน (Mercury) ซึ่งไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำคริสตจักรในยุคนั้น การเปลี่ยนพระนามจึงเริ่มกลายเป็นธรรมเนียมเพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อคริสเตียน
หลังจากนั้น การเปลี่ยนพระนามกลายเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อมาเกือบทุกพระสันตะปาปา โดยเฉพาะตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พระสันตะปาปาคนสุดท้ายที่ใช้พระนามเดิมคือ พระสันตะปาปามาร์เซลลัส ที่ 2 ในปี 1555 ซึ่งเลือกที่จะใช้ชื่อเดิม "มาร์เซลลัส" ต่อไป แต่หลังจากนั้น พระสันตะปาปาทุกองค์ล้วนเปลี่ยนพระนามเมื่อขึ้นครองตำแหน่ง
ยกเว้นบางกรณี ที่พระสันตะปาปาเลือกใช้ชื่อที่ใกล้เคียงกับพระนามเดิม เช่น พระสันตะปาปาเอเดรียน ที่ 1 ซึ่งพระนามเดิมคือ "เอเดรียน" หรือบางองค์เลือกพระนามที่สะท้อนถึงรากเหง้าทางจิตวิญญาณของตน
10 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14
1.พระสันตะปาปาชาวอเมริกันคนแรก
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 หรือ โรเบิร์ต ฟรานซิส เพรวอสต์ ประสูติเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2498 ที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา การได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาทำให้พระองค์กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งศาสนจักรคาทอลิกในประวัติศาสตร์ 2,000 ปี ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความหลากหลายของศาสนจักรในยุคโลกาภิวัตน์
2.ชีวิตมิชชันนารีในเปรู
พระองค์ทรงใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษในเปรู โดยเริ่มจากการเป็นมิชชันนารีในเมืองตรูฆิโย และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นอัครมุขนายกแห่งชิกลาโยระหว่างปี 2557-2566 ประสบการณ์ในละตินอเมริกาทำให้พระองค์เข้าใจความท้าทายของผู้ยากไร้และชุมชนชายขอบ ซึ่งหล่อหลอมวิสัยทัศน์ด้านความยุติธรรมทางสังคมของพระองค์
3.สมาชิกคณะออกัสติน
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ทรงเป็นนักบวชจากคณะออกัสติน ซึ่งเป็นคณะนักบวชที่มีสมาชิกกระจายอยู่ทั่วโลก พระองค์เคยดำรงตำแหน่งอธิการเจ้าคณะใหญ่ของคณะนี้เป็นเวลากว่าทศวรรษ สุนทรพจน์แรกของพระองค์อ้างถึงนักบุญออกัสตินสะท้อนถึงความถ่อมตนและความปรารถนาที่จะเดินเคียงข้างคริสตชน ว่า
เพื่อท่าน ฉันเป็นพระสังฆราช แต่ร่วมกับท่าน ฉันเป็นคริสต์ศาสนิกชน
4.ผู้นำที่ได้รับความไว้วางใจจากพระสันตะปาปาฟรานซิส
พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นพระคาร์ดินัลในปี 2566 และมอบหมายให้เป็นหัวหน้าสมณกระทรวงเพื่อพระสังฆราช ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกพระสังฆราชทั่วโลก นักวิเคราะห์วาติกันระบุว่า พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเห็นความสามารถในการเป็นผู้นำที่สมดุลและรอบคอบในตัวพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระองค์ได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่ง
5.พลเมืองคู่ของสหรัฐฯ และเปรู
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ทรงถือ 2 สัญชาติ คือ สหรัฐอเมริกาและเปรู โดยได้รับสัญชาติเปรูในปี 2558 จากการทำงานในประเทศนี้เป็นเวลานาน ปธน.ดีนา โบลัวร์เต ของเปรู ยกย่องการได้รับเลือกของพระองค์ว่าเป็น "ช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับเปรูและโลก"

6.การศึกษาและความสนใจส่วนตัว
พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิลลาโนวา รัฐเพนซิลเวเนีย และต่อมาศึกษาศาสนศาสตร์ที่ Catholic Theological Union ในชิคาโก รวมถึงศึกษากฎหมายพระศาสนจักรที่กรุงโรม นอกจากนี้ พระองค์ทรงชื่นชอบการเล่นเทนนิส การอ่าน และการเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ซึ่งสะท้อนถึงบุคลิกที่สมดุลระหว่างงานและการพักผ่อน
7.ผู้นำที่มีแนวคิดเป็นศูนย์กลาง
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่มีแนวคิดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสามารถดึงดูดการสนับสนุนจากทั้งกลุ่มก้าวหน้าและอนุรักษนิยมในหมู่พระคาร์ดินัล การที่พระองค์ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 จากพระคาร์ดินัล 133 รูปแสดงถึงความสามารถในการรวมใจของพระองค์
8.ความมุ่งมั่นเพื่อผู้ยากไร้และแรงงาน
การเลือกพระนาม "เลโอ" สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของพระองค์ในการสานต่อมรดกของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ในการปกป้องสิทธิแรงงานและผู้ยากไร้ พระองค์คาดว่าจะให้ความสำคัญกับประเด็นความยากจน การอพยพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับนโยบายของพระสันตะปาปาฟรานซิส
9.ประสบการณ์การบริหารในวาติกัน
ก่อนได้รับเลือก พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสมณสภาเพื่อละตินอเมริกา และหัวหน้าสมณกระทรวงเพื่อพระสังฆราช ซึ่งทำให้พระองค์มีประสบการณ์บริหารในระดับสูงในวาติกัน ความรู้และความเข้าใจในโครงสร้างศาสนจักรจะช่วยให้พระองค์นำการปฏิรูปต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10.วิสัยทัศน์สำหรับศาสนจักรยุคใหม่
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 14 ทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็น "professionalism missionary" หรือผู้แพร่ธรรมในทุกสถานที่ พระองค์ปรารถนาที่จะนำศาสนจักรให้เป็นที่พึ่งของทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกีดกันในสังคม สุนทรพจน์แรกของพระองค์ที่กล่าวถึง "เสียงที่อ่อนโยนแต่กล้าหาญ" ของพระสันตะปาปาฟรานซิส บ่งชี้ว่า พระองค์จะสานต่อวิสัยทัศน์ของการเป็นศาสนจักรที่โอบกอดทุกคน

อ่านข่าวอื่น :