วันนี้ (26 พ.ค.2568) สถานการณ์ในยูเครนทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างมากในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ (25 พ.ค.) รัสเซียได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปีของสงคราม การโจมตีดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่กรุงเคียฟและภูมิภาคอื่น ๆ ของยูเครน ด้วยขีปนาวุธ 69 ลูก และโดรน 298 ลำ ใน 22 จุดทั่วประเทศ ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 12 คน โดยมีเด็ก 3 คนจากครอบครัวเดียวกันอยู่ในจำนวนผู้เสียชีวิตด้วย และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบคน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการโจมตีระลอกก่อนหน้าในวันเสาร์ (24 พ.ค.) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน กองทัพอากาศยูเครนระบุว่าสามารถสกัดขีปนาวุธได้ 47 ลูก และโดรน 266 ลำ แต่ก็ยังมีความเสียหายและสูญเสียเกิดขึ้น
หลังจากการโจมตีครั้งใหญ่ดังกล่าว อดีต ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยกล่าวผ่านโซเชียลมีเดียว่า ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย "เสียสติไปแล้วเต็มที่! (has gone absolutely CRAZY)" และย้ำว่าเขา "ไม่พอใจเลยกับสิ่งที่ปูตินกำลังทำ"
ทรัมป์ระบุว่าปูตินกำลังฆ่าผู้คนไปอย่างไม่จำเป็นมากมาย โดยเฉพาะการยิงขีปนาวุธและโดรนเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ในยูเครนโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ เลย ผู้นำสหรัฐฯ ยังแสดงความประหลาดใจว่า การโจมตีครั้งใหญ่เกิดขึ้นได้อย่างไร ในขณะที่ทั้ง 2 เพิ่งพูดคุยกันไปก่อนหน้านี้ถึงสันติภาพของรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับปูตินมาตลอด
การแสดงท่าทีรุนแรงของทรัมป์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 พ.ค.) ซึ่งทรัมป์เองเป็นผู้ที่ตั้งความหวังไว้อย่างสูงว่าการพูดคุยครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในการยุติสงคราม โดยทรัมป์กล่าวว่าจะช่วยปลดล็อกปัญหา
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวชี้ว่า การพูดคุยครั้งนั้นส่วนใหญ่ทำได้เพียงเน้นย้ำว่าสันติภาพยังห่างไกล และบางมุมมองวิเคราะห์ว่า ปูตินน่าจะได้สิ่งที่เขาต้องการจากการพูดคุยครั้งนั้น เจ้าหน้าที่รัสเซียเองก็ส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับระยะเวลาของการพูดคุยที่ยาวนานเป็นพิเศษ
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการพูดคุย ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับความคาดหวัง ทรัมป์ประกาศว่ายูเครนและรัสเซียจะเริ่มเจรจาเพื่อหยุดยิงและยุติสงครามในแบบที่พวกเขาสามารถทำได้เท่านั้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเข้าข้างฝ่ายรัสเซียที่ยืนยันให้มีการเจรจาข้อตกลงขั้นสุดท้ายทันที ในขณะที่ยูเครนและพันธมิตรยุโรปต้องการหยุดยิงชั่วคราว 30 วันก่อน ทรัมป์ยังเสริมความคลุมเครือให้กับความพยายามสันติภาพที่ดูเหมือนจะไร้ผลมากขึ้น และบอกใบ้ว่าสหรัฐฯ อาจจะถอยออกมาหากไม่มีความคืบหน้า
ทรัมป์ยังคงลังเลเกี่ยวกับการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยให้เหตุผลในตอนแรกว่าอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง แม้ว่าล่าสุดจะกล่าวว่ากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ก็ตาม และเขายังคงแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายมหาศาลในการช่วยเหลือยูเครน
ในขณะที่ ปธน.โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนได้ออกมาแสดงท่าที หลังการพูดคุยของทรัมป์กับปูติน อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีได้โต้แย้งมุมมองของทรัมป์อย่างสุภาพผ่านข้อความบน X (ทวิตเตอร์) โดยเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวดยิ่งขึ้น หากรัสเซียยังไม่เต็มใจที่จะหยุดฆ่าชาวยูเครน ผู้นำยูเครนยังเสนอให้มีการเจรจาโดยตรงกับรัสเซีย แต่ย้ำว่าต้องมีตัวแทนจากยุโรปและอเมริกาเข้าร่วมด้วย และสิ่งสำคัญที่สุดเซเลนสกีเตือนว่า
สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราทุกคนคือ สหรัฐฯ จะต้องไม่ถอยห่างจากการเจรจาและการแสวงหาสันติภาพ เพราะผู้เดียวที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้คือปูติน
การโจมตีครั้งล่าสุดเกิดขึ้นท่ามกลางความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ในช่วงสัปดาห์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (22 พ.ค.) ปธน.ปูตินประกาศว่ากองทัพรัสเซียกำลังดำเนินการสร้างเขตกันชนความปลอดภัย ตามแนวชายแดนรัสเซีย-ยูเครน พร้อมระบุว่านี่เป็นการตัดสินใจที่จำเป็นเพื่อปราบปรามจุดยิงของศัตรูอย่างแข็งขัน
แผนการนี้เคยถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มี.ค. กระทรวงการต่างประเทศยูเครนตอบโต้ทันทีว่า แผนการนี้ก้าวร้าว และแสดงให้เห็นว่ารัสเซียคืออุปสรรคต่อความพยายามสันติภาพในขณะนี้ การประกาศเขตกันชนนี้เกิดขึ้นหลังจากปูตินเดินทางเยือนภูมิภาคเคิร์สต์ ซึ่งเขาได้หารือเกี่ยวกับเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
ในอีกด้านหนึ่ง ความร่วมมือที่หายากได้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการสู้รบที่ทวีความรุนแรง นั่นคือการแลกเปลี่ยนเชลยศึก การแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามได้เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการเจรจาโดยตรงระหว่างยูเครนและรัสเซียในตุรกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การเจรจาครั้งนี้นับเป็นการพูดคุยโดยตรงในระดับใดๆ เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะแลกเปลี่ยนเชลยศึกรวม 1,000 คน จากแต่ละฝ่าย การแลกเปลี่ยนดำเนินการหลายขั้นตอน โดยมีการปล่อยเชลยศึกกว่า 600 คนในวันเสาร์ และอีกกว่า 600 คนในวันอาทิตย์ การแลกเปลี่ยนเชลยศึกนี้ถูกมองว่าเป็น "ผลลัพธ์ที่จับต้องได้เพียงอย่างเดียว" จากการประชุมในตุรกี แม้จะมีความหวังว่าการพูดคุยจะช่วยลดความสูญเสีย แต่เหตุการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการโจมตีของรัสเซียกลับทวีความรุนแรงขึ้น
อ่านข่าวอื่น :
ตร.เตรียมสอบ "เอกพจน์" เพิ่มในเรือนจำ คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง
"สุชาติ" ไม่ไกล่เกลี่ยฟ้องหมิ่น "รักชนก-สหัตวัส" ศาลเลื่อนไต่สวน 16 มิ.ย.