วันนี้ (30 พ.ค.2568) ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ สั่งระงับคำสั่งของศาลการค้าระหว่างประเทศ ที่ก่อนหน้านี้มีผลให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องยกเลิกมาตรการภาษี จึงทำให้แผนภาษีทรัมป์กลับมามีผลบังคับใช้ต่อไปได้อีกครั้ง
ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในวอชิงตัน ระบุว่า การสั่งระงับคำสั่งศาลการค้าระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาข้ออุทธรณ์ของรัฐบาลที่ยื่นเรื่องเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังวานนี้ (29 พ.ค.) ศาลการค้าฯ สั่งระงับแผนบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งประธานาธิบดีประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าผู้นำประเทศใช้อำนาจฉุกเฉินเกินขอบเขตเพื่อดำเนินการดังกล่าว พร้อมระบุว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้อำนาจสภาคองเกรสตัดสินใจในการสร้างข้อกำหนดทางการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดี
คำสั่งดังกล่าวของศาลการค้าฯ ถูกผู้ช่วยโฆษกทำเนียบขาวโจมตีทันควัน โดยระบุว่า ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษา ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ที่จะตัดสินใจว่าจะจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติอย่างไรให้เหมาะสม
คำสั่งของแต่ละศาลที่ออกมาห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภาษี และกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน แต่ก็ไม่ได้มากนัก แม้วานนี้ (29 พ.ค.) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ กลับมาแข็งค่าขึ้นหลังศาลการค้าสั่งระงับนโยบายภาษี และดัชนีฟิวเจอร์สตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาพากันปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
แม้ศาลอุทธรณ์จะสั่งระงับคำสั่งเดิม และทำให้ภาษีกลับมามีผลชั่วคราว แต่ตลาดทุนโดยรวมไม่ได้ตอบสนองอย่างรุนแรงนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงจับตาดูผลการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไปของศาล และคาดการณ์ว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของทรัมป์จะยังคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง
ด้านที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว ระบุว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของทรัมป์
ขณะที่ศูนย์ยุติธรรมเสรีภาพ ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทหลายแห่งที่ฟ้องร้องเพื่อยับยั้งภาษีนำเข้า แถลงว่าการตัดสินใจของศาลอุทธรณ์เป็นเพียงขั้นตอนทางกระบวนการเท่านั้น มั่นใจว่าศาลจะปฏิเสธคำร้องของรัฐบาลในที่สุด โดยตระหนักถึงความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้จากนโยบายภาษี แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเรื่องนี้อาจลุกลามไปถึงศาลสูงสุดสหรัฐฯ
อ่านข่าว : คำสั่งศาลเบรกภาษีทรัมป์ เขย่า "ยุคทอง" แผนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
3 มิ.ย.ชี้ชะตา! "เกาหลีใต้" หาผู้นำใหม่ท่ามกลางวิกฤตการเมือง