เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐอเมริกา ลงนามในประกาศฝ่ายบริหารเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากต่างประเทศ ซึ่งเดิมกำหนดที่อัตราร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 50 โดยมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อเวลา 00.01 น. ของวันพุธที่ 4 มิ.ย.2568 ตามเวลาท้องถิ่น
มาตรการที่เกิดขึ้นจะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศยกเว้นอังกฤษ ซึ่งยังคงได้รับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าชนิดดังกล่าวในอัตราร้อยละ 25 หลังทั้ง 2 ประเทศบรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งล่าสุดเมื่อ 8 พ.ค. ถือเป็นประเทศเดียวที่เจรจาสำเร็จไปในขณะนี้ ระหว่างช่วง 90 วันที่ทรัมป์ประกาศผ่อนผันมาตรการภาษีกับคู่ค้าทั่วโลก
Mark Carney นายกรัฐมนตรีแคนาดา ระบุว่า แคนาดาเตรียมตอบโต้สหรัฐฯ หากการเจรจาเพื่อผ่อนปรนภาษีเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งขณะนี้แคนาดากำลังหารือกับสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น ซึ่งการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมครั้งนี้ไม่ยุติธรรม ขัดต่อกฎหมาย และไม่ดีกับบรรดาแรงงานอเมริกันเอง รวมถึงอุตสาหกรรมทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดาด้วย
ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ปีที่แล้ว แคนาดาส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ 5,950,000 ตัน และส่งออกอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ 3,150,000 ตัน
ด้าน Claudia Sheinbaum ปธน.เม็กซิโก ระบุว่า จะออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ เช่นกัน หากสหรัฐฯ ปฏิเสธจะผ่อนปรนภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโกจะเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ ต่อ
นอกจากนี้ผู้นำเม็กซิโก ระบุด้วยว่า การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นร้อยละ 50 ไม่ยุติธรรม แต่หากต้องตอบโต้ นี่ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่เป็นการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยไม่ได้ลงรายละเอียดว่ามีแผนจะตอบโต้อย่างไรบ้าง
เม็กซิโกนำเข้าเหล็กจากสหรัฐอเมริกามากกว่าปริมาณส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 3 ส่วนอันดับที่ 1 คือแคนาดา แต่เศรษฐกิจของเม็กซิโกที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในลาตินอเมริกาอาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้มากที่สุด เนื่องจากเป็นคู่ค้าที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิด ซึ่งเดิมที่เม็กซิโกได้ประโยชน์จากการผ่อนปรนมาตรการภาษี จากข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ
EU เตรียมรับศึกหนัก ภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 50%
ขณะที่สหภาพยุโรป ไม่ได้โชคดีเหมือนอังกฤษ หลังสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากสมาชิก EU 27 ประเทศ เจอภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐฯ มากขึ้นเป็นเท่าตัว
Maros Sefcovic ผู้แทนเจรจาการค้าของ EU กับ Jamieson Greer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เพิ่งหารือกันไปไม่นานนี้ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนจะถึงเส้นตายกลับมาบังคับใช้มาตรการกำแพงภาษีสินค้าอีกครั้งในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ หลังระงับไปนาน 90 วัน
ปัจจุบัน EU ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ 3,800,000 ตัน ซึ่งผู้อำนวยการสมาคมค้าเหล็กยุโรป เตือนด้วยว่า เหล็กกว่า 27 ล้านตันที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสหรัฐฯ เวลานี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกตีกลับ และต้องเข้าไปทำตลาดในที่อื่น ๆ แทน รวมถึงในยุโรป ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2561 ที่ทรัมป์เคยใช้มาตรการภาษีลักษณะนี้
ขณะที่เยอรมนีอาจจะโดนหนักสุดในบรรดาชาติยุโรป ในฐานะผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุด เนื่องจากส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 6 จากยอดการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ
แต่สุดท้ายประเทศที่จะได้รับผลกระทบไปด้วยจากมาตรการนี้ หนีไม่พ้นสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันเหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ในสหรัฐฯ ประมาณ 1 ใน 4 นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนหลายอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น เช่น ประเมินว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ก่อสร้าง ราคาวัสดุเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต้นทุนเหล็กแผ่นรีดสำหรับผลิตกระป๋องสินค้าบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาอาหารและเครื่องดื่มกระป๋องอาจปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการบินและอุปกรณ์ป้องกันประเทศสูงขึ้น
แม้มาตรการนี้สร้างความได้เปรียบเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก-อะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจวงกว้าง ทั้งการชะลอตัวของ GDP ความเสี่ยงเงินเฟ้อ
อ่านข่าวอื่น :
แม่ร้องปวีณา ลูกป่วย SLE หลังฉีด HPV สงสัยเกี่ยวข้องหรือไม่ ?