ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"คำนูณ" โพสต์ย้อนรอยไทย-ศาลโลก เตือนอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

การเมือง
13:32
400
"คำนูณ" โพสต์ย้อนรอยไทย-ศาลโลก เตือนอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
อ่านให้ฟัง
12:10อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
อดีต สว.คำนูณ โพสต์ย้อนรอยประเทศไทยกับศาลโลก ICJ ปมพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา แนะนายกฯ แพทองธารแสดงท่าทีให้ชัด อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

วันนี้ (5 มิ.ย.2568) นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn ระบุข้อความว่า ย้อนรอยมหากาพย์แห่งความเจ็บปวด ประเทศไทยกับศาลโลก ICJ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

สวนทางกับการนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อม ๆ ให้ต้องตีความและไม่ยอมพูดเรื่องที่ประเทศไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ICJ ให้หนักแน่นชัดเจน ในแถลงการณ์ของรัฐบาลเมื่อเช้าวานนี้ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาก็ออกแถลงการณ์กล่าวหาอีกครั้งว่าทหารไทยโจมตีทหารกัมพูชาในพื้นที่ของกัมพูชา และจะขอใช้กลไกของศาลโลก ICJ แก้ปัญหา ขอให้รัฐบาลไทยร่วมมือด้วย ตามภาพที่ปรากฏ

แถลงการณ์ของเขาเด็ดขาดมาก บอกว่าจะไม่นำความขัดแย้งใน 4 พื้นที่ทางบก (ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย) มาคุยในเวทีเจรจาทวิภาคี แต่จะนำขึ้นศาลโลก ICJ สถานเดียว

เหมือนเอาเท้าเขี่ยแถลงการณ์นั่งพับเพียบของรัฐบาลไทยทิ้งอย่างไม่ไยดี

ขอบคุณภูมิธรรม เวชยชัย ที่ให้สัมภาษณ์ในช่วงบ่าย ๆ เรื่องไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ และมติ ครม. 12 มีนาคม 2567 ที่ผมนำมาตอกย้ำและขยี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นด้วยที่ท่านบอกทำนองว่าไม่อยากขยายเรื่องนี้มาก

เราต้องร่วมกันขยายให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน

มหากาพย์แห่งความเจ็บปวดระหว่างไทยกับศาลโลก ICJ จำเป็นต้องรื้อฟื้นและขยายครับ

ประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจ ICJ ตั้งแต่ศาลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2488 แต่ถูก ICJ วินิจฉัยในปี 2504 ว่าเราได้รับอำนาจศาลแล้วในปี 2493 โดยจะครบวาระ 10 ปีในวันที่ 20 พฤษภาคม 2503 เป็นเวลา 65 ปีมาแล้ว

ผลการวินิจฉัยในปี 2504 ทำให้ประเทศไทยต้องเข้าสู้คดีปราสาทพระวิหารกับกัมพูชาในศาลเพียง 1 คดี แต่เป็น 2 รอบ ตัดสินในปี 2505 และ 2565 ไม่ชนะทั้ง 2 รอบ

รัฐบาลต้องชี้แจงให้คนไทยเข้าใจร่วมกันว่า ICJ ที่ย่อมาจาก Information Court of Justice หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือเรียกกันอย่างติดปากว่าศาลโลกนั้น ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้จะเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสหประชาชาติ แต่ไม่เหมือนศาลภายในแต่ละประเทศที่บังคับใช้กับประชาชนในประเทศนั้น ๆ ทุกคนโดยอัตโนมัติ รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ แม้จะเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติหาอยู่ภายใต้บังคับโดยอัตโนมัติไม่ ต้องพิจารณาแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาลอย่างเป็นทางการเสียก่อน ถ้าไม่รับไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ

การรับอำนาจ ICJ กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตนารับคราวละ 10 ปี

เชื่อไหมว่าประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจ ICJ อย่างเป็นทางการเลย

เคยแต่รับอำนาจศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ (PCIJ) หรืออาจจะเรียกว่าศาลโลกเก่า ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสันนิบาตชาติที่ตั้งขึ้นในปี 2463 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมแล้ว 3 ครั้ง

- ครั้งที่ 1 ปี 2472 (ค.ศ. 1929)
- ครั้งที่ 2 ปี 2483 (ค.ศ. 1940)
- ครั้งที่ 3 ปี 2493 (ค.ศ. 1950)

แต่มีปัญหาไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ตรงการต่ออายุการรับรองอำนาจศาลครั้งที่ 3 เพราะขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 5 ปี ไม่มีสันนิบาตชาติอีกแล้ว ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้ว มีแต่องค์การสหประชาขาติและศาล ICJ แต่รัฐบาลไทยกลับส่งหนังสือประกาศยืนยันจากรัฐบาลไทยถึงเลขาธิการสหประชาชาติ “ขอต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ” เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 จึงถูกวินิจฉัยในอีก 11 ปีต่อมาว่านั่นคือการยอมรับอำนาจศาล ICJ แล้ว

กัมพูชาฟ้องไทยในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2502 เหลืออีก 7 เดือนจะครบอายุ 10 ปีของประกาศรับอำนาจศาลเมื่อปี 2493

แม้ประเทศไทยจะต่อสู้คดีเบื้องต้นโดยการตัดฟ้องว่าเราไม่ได้ยอมรับอำนาจศาล ICJ ศาล ICJ จึงไม่มีอำนาจพิจารณา แต่ก็ไม่เป็นผล

ศาล ICJ พิพากษาข้อโต้แย้งเบื้องต้นในปี 2504 ว่าประเทศไทยยอมรับอำนาจศาลแล้วในปี 2493

ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเดินหน้าต่อสู้คดีต่อไป

และแพ้คดีปราสาทพระวิหารอย่างย่อยยับในปี 2505 ดังที่ทราบกันดี

ไทยต้องขึ้นสู้คดีในศาล ICJ อีกครั้งในปี 2554 - 2556 แต่เป็นคดีเก่าเมื่อปี 2502 - 2505 เป็นคดีที่รัฐคู่ความยื่นขอตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505

จากข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยต้องขึ้นต่อสู้คดีในศาล ICJ ทั้ง 2 ครั้ง กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งสิ้นนั้น

จึงเชื่อว่ากัมพูชาต้องการใช้ศาล ICJ แก้ปัญหาเขตแดนกับไทยอีกต่อไป

ทุกประการผ่านการวางแผนมา

แม้กรทั่งประเด็นเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย ผมเชื่อว่าการที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปมารุกล้ำอธิปไตยของเกาะกูดเมื่อปี 2515 ก็ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดีแล้วว่าจะพยายามให้จุดสุดท้ายไปจบที่ศาล ICJ และประเทศเขาจะได้เปรียบอีกครั้ง

นี่จึงเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องมีทีท่าที่หนักแน่นและชัดเจน โดยรัฐบาลไทยต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้

เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ไม่ว่าเหตุผิดเพี้ยนของรัฐบาลไทยในปี 2493 จะเกิดขึ้นเพราะอะไร รัฐบาลไทยมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไรต่ออำนาจศาล ICJ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในขณะนั้นไม่นาน มันจบไปแล้ว ผู้รับผิดชอบทุกระดับคงไม่มีใครเหลือมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ความจริงแท้แน่นอนคือประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาล ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 คดีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเริ่มฟ้องในปี 2502 เป็นคดีแรกและคดีสุดท้ายที่เราอยู่ภายใต้อำนาจศาล เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีถึง 2 ภาคภายในระยะเวลากว่า 60 ปี

มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยได้ชัดเจน

คณะรัฐมนตรีลงมติเป็นหลักการเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ให้แจ้งไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่าในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญาซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาล ICJ มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาล ICJ ไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ

ย้ำ - เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ !

วันที่ 15 และ 19 มีนาคม 2567 มีการแจ้งมติคณะรัฐมนตรีไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ

ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อสังเกตเชิงข้อเสนอมาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566

ประเด็นนี้ต้องขอชื่นชมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยชุดนายเศรษฐา ทวีสิน

ผมคาดการณ์อยู่แล้วว่ากัมพูชาต้องมามุกเดิมยืมมือศาล ICJ อีกแน่ในอนาคต จึงขยายความเรื่องนี้โดยการตั้งกระทู้ถามสดในวุฒิสภา เป็นการตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้มาตอบแทน

ในวันนั้นผมได้ใช้เป็นโอกาสกล่าวเทิดเกียรติท่านอาจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล ที่ยืนหยัดปฏิเสธอำนาจศาล ICJ มาโดยตลอดชีวิตท่านด้วย

แม้ดูเหมือนว่าคนไทยจะสบายใจได้ในระดับสำคัญ

ขอแต่เพียงรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนในอนาคต อย่าได้ยกเลิกหลักการสำคัญยิ่งอันเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 นี้

อย่าให้ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีตก็แล้วกัน

- ไม่ว่าการออกประกาศต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ ในปี 2493 ทั้งที่ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้วหลายปี
- หรือใกล้ ๆ หน่อย การที่เคยมีมติ ครม.ชุดปลายปี 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษาวิธีการยกเลิก แต่ศึกษากันยาวนาน 5 ปี จนถึงปลายปี 2557 กลับมีมติคณะรัฐมนตรีอีกชุดหนึ่งให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีชุดปี 2552 ให้กลับมาใช้ MOU 2544 เป็นกรอบการเจรจากับกัมพูชาอีก

อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย !

เพราะมติ ครม.นั้นเปลี่ยนแปลงได้โดยมติ ครม.ที่เกิดขึ้นภายหลัง นโยบายในแต่ละยุคแต่ละรัฐบาลอาจต่างกันได้ รัฐบาลเพื่อไทยยุคนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร อาจเห็นต่างจากรัฐบาลเพื่อไทยยุคนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

ผมจึงเสนอให้นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร แสดงท่าทีให้ชัด ออกมาพูดชี้แจงกับคนไทย และตอบพ่อลูกตระกูลฮุน

คำนูณ สิทธิสมาน
5 มิถุนายน 2568

อ่านข่าว

ชัยชนะ "เขาพระวิหาร" แรงบันดาลใจ กัมพูชายื่นคดีสู่ "ศาลโลก"

รัฐบาลไทยย้ำปกป้องอธิปไตย-แก้ปัญหาชายแดน "ไทย-กัมพูชา" สันติวิธี

มท.แจ้งด่วนผู้ว่าฯ 7 จว.ชายแดนไทย-กัมพูชา ดูแลความปลอดภัย ปชช.

นักวิชาการแนะวิธีแก้เกม "กัมพูชา" ปมพิพาทเขตแดน

"รังสิมันต์" ติงรัฐบาลสื่อสารปมกัมพูชาช้า ชี้เจรจา 14 มิ.ย.หวั่นไทยเสียเปรียบ