ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ปิดด่านชายแดน" ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา เสี่ยงถูกคู่แข่งแย่งตลาด

เศรษฐกิจ
13:28
785
"ปิดด่านชายแดน" ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา เสี่ยงถูกคู่แข่งแย่งตลาด
อ่านให้ฟัง
05:56อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชาชี้เอกชนไม่อยากเห็นภาพ "ปิดด่านชายแดน" ยกการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาปี 67 มีมูลค่ารวม 300,000 ล้านบาท โดยไทยส่งออกเกือบ 90% หากขนส่งสินค้าไทยมีอุปสรรคเสี่ยงถูกคู่แข่งแย่งตลาด

"ปิดด่านชายแดน" จะเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจะพิจารณาใช้หรือไม่ หากสถานการณ์บริเวณชายแดนตึงเครียดมากขึ้นและการเจรจาในวง JBC ไม่สำเร็จ ซึ่งหากมีการปิดด่านจริง อาจส่งผลกระทบกับประชาชนและการค้าของ 2 ประเทศ

วันนี้ (6 มิ.ย.2568) นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวถึงเรื่องการค้าชายแดนหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ว่า การค้าชายแดนในภาพรวมยังไม่มีผลกระทบโดยตรง แต่อาจมีเรื่องความเชื่อมั่นของนักธุรกิจที่จะต้องค้าขายกับกัมพูชา ซึ่งจะต้องมีการวางแผนหรือเตรียมแผนฉุกเฉินกรณีเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งนอกจากพื้นที่ช่องบกแล้ว ในพื้นที่อื่นๆ ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องผลกระทบโดยตรงทางด้านการค้าและการสัญจรของประชาชน

ขณะที่ภาคเอกชนไม่อยากให้มีการปิดด่านชายแดน เนื่องจากในปี 2567 การค้าระหว่างไทยและกัมพูชา มีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 300,000 ล้านบาท โดยไทยมีการส่งออกไปกัมพูชาประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบประมาณ 90% ส่วนอีก 10% เป็นการนำเข้าจากกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดเป็นเติบโตจากปี 2566 ประมาณ 30% เกินดุลการค้ากัมพูชาประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ถ้าปิดด่านชายแดน 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เราเกินดุลอยู่ หรือมูลค่าการส่งออก 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะได้รับผลกระทบโดยตรง

ประเทศไทยมีพรมแดนติดกับกัมพูชา ทำให้ไทยมีข้อได้เปรียบจากสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้มีพรมแดนติดกับกัมพูชา ยกเว้นเวียดนาม ซึ่งหากมีอุปสรรคเกิดขึ้นกับการส่งสินค้าของไทย ก็มีโอกาสที่เวียดนามและจีนจะแย่งตลาดของไทยไป ยกตัวอย่างช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่มีความจำเป็นต้องปิดด่านชายแดน ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้สะดวก รวมถึงการขนส่งสินค้า จึงทำให้มูลค่าการค้าลดลงในช่วงปี 2562-2566 แต่หลังจากนั้นก็มีการขยับตัวเพิ่มขึ้นและการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มเติบโต

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าทั้งปี 2568 การค้าจะเติบโตประมาณ 8-9% หากดูจากช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-เม.ย.) โตไปแล้วกว่า 7% ซึ่งช่วงที่เหลือของปีนี้ก็มีโอกาสที่จะเติบโต 8-10% แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความสัมพันระหว่างประเทศ หากมีปัญหาในการส่งสินค้าที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น เช่น ทางเรือ ก็มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หรือไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทยในตลาดกัมพูชา

หากเกิดกรณีที่มีความสัมพันไม่สู้ดีระหว่าง 2 ประเทศและยังมีความตึงเครียดบริเวณพรมแดน รวมถึงมีกระแสการแบนสินค้าเกิดขึ้น ประเมินผลกระทบอย่างไรนั้น นายวรทัศน์ กล่าวว่า มีการประเมินสถานการณ์ในฉากทัศน์ต่างๆ ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นมีผลกระทบอย่างไร แต่ในระยะสั้นคาดว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องเตรียมตัว อาจเป็นผลดีที่ทำให้มีการสต็อกสินค้าเพิ่มในกรณีเกิดความรุนแรง หรืออาจจะเป็นผลร้ายที่ทำให้มูลค่าออเดอร์ 3-6 เดือนข้างหน้าลดลง

สินค้าที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร และที่สำคัญยังมีการลงทุนของไทยในกัมพูชา ซึ่งอุตสาหกรรมหลักในขณะนี้เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 2 รายการพึ่งพาฐานการผลิตในประเทศไทยและมีการเชื่อมโยงฐานการผลิตในไทยและกัมพูชา รวมถึงพึ่งพาการขนส่งทางบกเป็นหลัก เพราะฉะนั้นจึงคาดว่าตรงนี้จะมีผลกระทบหลักกับนักลงทุนไทยและนักธุรกิจไทย รวมถึงผู้ประกอบการในไทยและกัมพูชา

ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ยังกล่าวถึงแผนการรับมือ ว่า ขณะนี้พยายามหาทางเลือกในการขนส่งช่องทางอื่น แม้จะไม่มีความสะดวกหรือไม่มีความได้เปรียบเหมือนในปัจจุบันที่มีการขนส่งทางบก แต่ก็ยังดีกว่าการไม่สามารถส่งสินค้าไปขายได้ อีกทั้งเชื่อว่าปริมาณสินค้าที่ส่งออกจะลดน้อยลงหากเปลี่ยนวิธีการขนส่งไปใช้เส้นทางอื่น

เราตั้งความหวังไม่อยากเห็นภาพการปิดด่านชายแดน เพราะมีตัวอย่างในช่วงสถานการณ์โควิดที่เห็นแล้วว่ากระทบกับเศรษฐกิจอย่างไร รวมถึงความเดือนร้อนของประชาชน 2 ประเทศ จึงอยากวิงวอนไปยังภาครัฐให้พิจารณา สอบถามข้อมูลหรือขอความเห็นจากภาคเอกชนทั้ง 2 ประเทศประกอบการพิจารณา

อ่านข่าว

รู้จัก 7 ด่านค้าชายแดน จุดเชื่อมการค้าการลงทุน "ไทย-กัมพูชา"

"ผบ.เหล่าทัพ" ประชุมวาระเฉพาะกิจ คาดปมชายแดนไทย-กัมพูชา

ผลประชุม สมช. นายกฯ ยันรัฐบาล กองทัพ เป็นเอกภาพแก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา