- แพทยสภายืนยันมติเดิมลงโทษ 3 แพทย์ปม "ทักษิณ" รักษาชั้น 14
- ทักษิณป่วยจริงหรือ ? นักวิชาการชี้วีโต้สมศักดิ์คือ "เกมการเมือง"
วันนี้ (12 มิ.ย.2568) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ เดินทางมาเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารแพทยสภาในวาระการพิจารณามติแพทยสภาเกี่ยวกับมติการลงโทษแพทย์ 3 คน จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ที่รักษา นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ทางแพทยสภาเปิดโอกาสให้นายสมศักดิ์เข้าร่วมประชุมในช่วงเวลา 12.00 -12.15 น.
สำหรับเอกสารคำชี้แจงของนายสมศักดิ์ได้ส่งให้คณะกรรมการแพทยสภาทุกคนในห้องประชุม โดยมีเนื้อหาระบุว่า
อาศัยอำนาจ ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาให้ความเห็นต่อมติของแพทยสภา ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ อันเป็นเสาหลักที่ประชาชนใช้ยึดโยงความเชื่อมั่นและ ไว้วางใจต่อการรักษาพยาบาลในสังคมไทย
จริยธรรมทางการแพทย์นั้น มิใช่เพียงข้อบังคับ หากแต่คือแก่นของวิชาชีพที่สะท้อนความรับผิดชอบของแพทย์ต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย โดยต้องตั้งอยู่ บนหลัก 4 ประการ คือการเคารพเจตจำนงของผู้ป่วย การให้ประโยชน์สูงสุด การไม่ก่ออันตราย และการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
ด้วยเหตุนี้ การให้ความเห็นต่อมติลงโทษแพทย์จึงต้องดำเนินการด้วยความ รอบคอบ ละเอียดอ่อน และยึดมั่นในความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเอาผิดเพื่อ ตอบต่อกระแส แต่ต้องเป็นการตัดสินที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทของการ ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต

ผมขอเรียนทุกท่านว่า ผมได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ได้จากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมีท่าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบและ ทุ่มเท ใช้เวลาดำเนินการสอบสวนยาวนานถึง 5 เดือน 5 วัน
โดยผลการพิจารณาชั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ปรากฏดังนี้:
1.นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข - มีความเห็นยกข้อกล่าวหา
2.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ — เห็นควรลงโทษในระดับเบา โดยมีมติให้ “ว่ากล่าว ตักเตือน”
3.พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ — มีความเห็นว่า “ควรภาคทัณฑ์”
4.พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ — มีความเห็นชัดเจนว่า “ไม่มีความผิดทางจริยธรรม”
แม้ภายหลังจะปรากฏว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกลั่นกรอง และคณะกรรมการแพทยสภาในชั้นสุดท้าย มติที่ออกมา “กลับพลิกผัน” ไปจากผลการสอบสวน โดยมีการลงโทษที่สูงขึ้น ทั้งในรูปแบบของการพักใช้ใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพเป็นระยะเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นการตีความที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และยังไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมที่ต่างจากชั้นสอบสวน
แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และไม่อาจละเลยได้ก็คือ เหตุใดคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ จึงไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของ คณะอนุกรรมการสอบสวนดังกล่าว
หากไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติม หรือเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ การเปลี่ยนแปลงมติอย่างมีนัยสำคัญในชั้นสุดท้ายเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีแรงจูงใจอื่นใดที่อยู่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงและหลักวิชาชีพมาประกอบในการตัดสินใจหรือไม่
ในระหว่างกระบวนการพิจารณา ผมได้พยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมถึงสองครั้ง แต่ทางแพทยสภา กลับมีความเห็นว่า ได้ส่งเอกสารให้ “เพียงพอแล้ว” ซึ่งในมุมมองของผม การไม่เปิดเผย ข้อมูลสำคัญเช่นนี้ อาจเป็นผลเสียต่อการใช้ดุลยพินิจและการลงมติอย่างรอบด้านในวันนี้
การลงมติในครั้งนี้ ผมก็คาดหวังว่ากรรมการทุกคนที่มาลงมติ จะมิได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากแต่เป็นผู้ที่สามารถคงไว้ได้ซึ่งความเป็นกลาง
ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าการพิจารณาเสนอให้ยับยั้งมติในครั้งนี้ มิได้เกิดจากความเห็นส่วนตัวหรือการวินิจฉัยอย่างผิวเผิน หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริง อย่างละเอียดรอบด้าน แต่เนื่องจากผมมีความเห็นแตกต่างจากที่ประชุมแพทยสภา จึงนำมาสู่การประชุมในวันนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันพิจารณาอีกครั้งด้วยความรอบคอบที่สุด โดยผมขอชี้แจงเหตุผลการยับยั้งมติดังนี้ครับ
กรณี นพ.วัฒน์ชัยฯ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการแพทยสภาได้วินิจฉัยโดยรอบคอบและมีมติยกข้อกล่าวหา
เมื่อพิจารณาร่วมกับเอกสารและข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมเห็นว่ามติดังกล่าวสอดคล้องกับหลักนิติธรรม และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จึงเห็นชอบตามมติของ คณะกรรมการแพทยสภา
กรณี พญ.รวมทิพย์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 2) ถูกกล่าวหาว่าออกใบส่งตัวผู้ต้องขัง แรกรับไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังถูกส่งไปรักษานอกเรือนจำ และถูกตีความว่าเป็น การไม่รักษามาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม
อย่างไรก็ตาม การออกใบส่งตัวล่วงหน้าในขั้นตอนตรวจร่างกายผู้ต้องขัง แรกรับเป็นแนวปฏิบัติปกติในเรือนจำ เพราะเรือนจำไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ประจำ หรือแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา และเป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีที่ผู้ต้องขังมี ความจำเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง
ในกรณีนี้แพทย์เพียงอนุญาตให้นำใบส่งตัวเดิมไปใช้ตามคำร้อง ของพยาบาลเวรในภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจส่งตัวผู้ต้องขัง ซึ่งเป็น อำนาจของผู้บัญชาการเรือนจำพฤติกรรมของ พญ.รวมทิพย์ฯ จึงอยู่ในขอบเขตของวิชาชีพแพทย์อย่าง เหมาะสม ไม่ปรากฏเจตนาทุจริต และไม่ควรถือเป็นความผิดทางจริยธรรม
กรณี หมอโสภณรัชต์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง จากการให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังใน โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ
แต่ข้อเท็จจริงคือ หมอโสภณรัชต์ฯ ไม่ได้กล่าวว่าผู้ป่วย “วิกฤติ” แต่อย่างใด คำพูดที่ว่า “ความดันยังสูงอยู่” และ “ยังมีอาการน่าเป็นห่วง” เป็นการอธิบายสภาพ ผู้ป่วยตามเวลานั้นไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือน และมิได้ขัดแย้งกับเวชระเบียน
ในฐานะผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งมิใช่แพทย์เจ้าของไข้ การตอบคำถามนักข่าวต่อหน้าโดยมิได้นัดหมาย ถือเป็นการให้ข้อมูลตามหน้าที่โดยสุจริต การตีความถ้อยคำดังกล่าวว่าเป็นความผิดจริยธรรมจึงไม่เป็นธรรม และไม่ควรใช้เป็นเหตุลงโทษทางวิชาชีพ
กรณี พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 4) ถูกกล่าวหาว่าเขียนใบแสดง ความเห็นแพทย์ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาตัวต่อในโรงพยาบาล ซึ่งถูกตีความว่าให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง
เรื่องนี้ที่ท่านลงโทษหมอทวีศิลป์เพราะว่ามีการลงความเห็นการรักษา แพทย์ที่ไม่ตรงกัน ความเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการใช้ดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งข้อเท็จจริงจากการสอบสวน ความเห็นในใบแสดงความเห็นแพทย์ของหมอทวีศิลป์ฯ ไม่มีข้อความส่วนใดเป็นเท็จ แต่ข้อความที่ถูกลงโทษเกิดจากความเห็นแพทย์ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ความเห็นของแพทย์ที่มีลักษณะดูแลแบบองค์รวม ไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะโรคใด โรคหนึ่ง หากจะมีความแตกต่างกัน ก็ไม่ควรจะถือว่าความเห็นเหล่านั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
เรื่องนี้แม้แต่คณะอนุกรรมการสอบสวน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ก็ ยังมีการสรุปความเห็นมาก่อนแล้วว่า กรณีหมอทวีศิลป์ไม่ควรเป็นความผิดการวินิจฉัย เช่นนี้ก็รับฟังได้มีเหตุผลท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน,
การตัดสินว่าการกระทำใดละเมิดจริยธรรมหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาก ข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทโดยรอบ ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์ตายตัว หากเราต้องการ รักษาจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ให้มั่นคงและเป็นธรรม ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความ เข้าใจ ความเมตตา และความกล้าหาญที่จะตัดสินโดยปราศจากอคติ
ท่านทั้งหลายรู้สึกไหมว่า ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจะเชื่อว่าการลงโทษหมอสามคนนี้ เป็นการ “ตีวัวกระทบคราด”
ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี เมื่อเดินเข้าเรือนจำ ท่านก็ได้รับการตรวจร่างกายเบื้องต้น ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้กับผู้ต้องขังแรกรับทุกคน โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินสุขภาพและความจำเป็นในการรักษา ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับผู้ต้องขังรายอื่น
เพียงแค่ผู้ป่วยอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ได้รับการส่งต่อไปยัง โรงพยาบาลที่มีศักยภาพรองรับการรักษาเฉพาะทางตามความจำเป็น กลับกลายเป็นเหตุ ให้แพทย์ 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในห้วงเวลาดังกล่าว ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ประพฤติผิดจริยธรรม ทั้งที่กระทำไปด้วยความรับผิดชอบในวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สูงสุด ของผู้ป่วย เท่านั้นหรือ

พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 33 บัญญัติให้การคุมขังใน สถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ หรือ House Arrest เป็นหนึ่งในวิธีการการคุมขัง ที่ใช้แนวคิด บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ซึ่งแสดงความเห็นถึงความจำเป็นในการใช้ทางเลือกอื่นที่ ไม่ใช่เรือนจำ เพื่อคุมขังผู้ที่ไม่ใช่ผู้ต้องขังอุกฉกรรจ์ อันเป็นนโยบายการลงโทษที่ก้าวหน้า และเป็นทิศทางที่สำคัญที่จะมีต่อไปในกระบวนการยุติธรรม
แต่หากมีการลงโทษหมอรักษาคนในกรณีนี้ จะมีส่วนสำคัญที่จะเป็น อุปสรรคต่อแนวคิดการบริหารงานราชทัณฑ์และกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม ผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่แพทย์สามท่าน แต่คือทุกคนในสังคม
และผมเองไม่อยากเห็นวันที่เราคนใดคนหนึ่งจำเป็นจะต้องถูกส่งตัวไป รักษา หรือคุมขังนอกเรือนจำหรืออยากจะใช้ House Arrest ที่ผมได้กล่าวถึง ... แต่มันไม่มี เพราะเรื่องที่เราทำกันในวันนี้
กรรมการหลายท่านในวันนี้ อาจมีความเชื่อในใจว่า ผมมาอธิบายเพื่อ ปกป้องอดีตนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้ ผมมาในฐานะ ‘คนนอก’ คนหนึ่ง ที่มาปกป้องเพื่อน ร่วมวิชาชีพของท่าน พี่น้องของท่าน และลูกหลานของท่าน และผมอยากฝากคำถาม 3- 4 ข้อ ให้กรรมการทุกท่านค่อยๆ ช่วยกันคิดนะครับ
1.การตัดสินใจของเราในวันนี้ จะสร้างบรรทัดฐานอะไรให้กับวงการแพทย์ในอนาคต? เราจะทำให้แพทย์เก่งๆ อีกหลายคนไม่กล้าตัดสินใจในภาวะวิกฤตที่ต้องเลือก ระหว่างความเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคนไข้ให้ดีที่สุด กับความปลอดภัยของตัวเอง เพราะต้องกลัวถูกลงโทษอย่างรุนแรงหรือไม่? เรากำลังสร้าง วัฒนธรรมแห่ง ‘ความกลัว’ แทนที่จะเป็นวัฒนธรรมแห่ง ‘ความตั้งใจสูงสุดในการดูแลผู้ป่วย’ หรือเปล่าครับ?"
2.ในฐานะกรรมการผู้ทรงเกียรติ หากในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มีบริบททางสังคม เปลี่ยนไป และสังคมมองย้อนกลับมาว่าการตัดสินใจของเราในวันนี้คือ ‘ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์’ ของวงการแพทย์ เป็นการลงโทษที่เกิดจากอคติในใจ ไม่ใช่เพื่อจรรยาบรรณอย่างแท้จริง... เราจะอธิบายต่ออนุชนรุ่นหลัง และต่อมโนธรรมของตัวเองว่าอย่างไร ว่าเราได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วจริงหรือไม่?"
3.ผมขอถามความรู้สึกจากใจจริงของทุกท่าน... มีแม้แต่เพียง ‘เสี้ยวหนึ่ง’ ในใจของ ท่านหรือไม่ ที่รู้สึกว่า ‘อาจมีบางอย่างไม่ถูกต้อง’ ในกระบวนการนี้? มีความลังเล แม้เพียงเล็กน้อยหรือไม่ว่า โทษที่เรากำลังจะมอบให้ มัน ‘รุนแรงเกินไป’ เมื่อเทียบกับเจตนาและข้อเท็จจริงทั้งหมด? หากมีความรู้สึกนั้นแม้เพียงนิดเดียว มันไม่ได้ กำลังบอกเราหรอกหรือ ว่าเราควรหยุดทบทวนอย่างจริงจัง ก่อนที่จะทำลายชีวิต ของเพื่อนร่วมวิชาชีพคนหนึ่งไปตลอดกาล?"
4.สุดท้ายนี้ ผมอยากขอให้ทุกท่านลองจินตนาการว่า ถ้าเหล่าแพทย์ที่ท่านกำลังจะ ลงโทษนั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็น ลูกหลานของเราหรือเป็นตัวเราเองในวันที่อ่อนประสบการณ์ที่สุด... เราจะยังคงยืนยันในบทลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้หรือไม่? เราจะต้องการคณะกรรมการที่พิจารณาจากข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและ ‘ให้ความเมตตา’ หรือต้องการคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ตัดสินอย่าง ‘เย็นชา’ โดยมีปัจจัยภายนอกชี้นำ? มาตรฐานความยุติธรรมที่เรามอบให้เขาในวันนี้ คือมาตรฐาน เดียวกับที่เราอยากจะได้รับหรือไม่?
ในการประชุมวันนี้ ขอให้พวกเราช่วยกันตัดสิน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะกรรมการ เพียงอย่างเดียว
ผมเชื่อเสมอว่า ความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด ขอบคุณครับ
อ่านข่าว :
ล่าชื่อ 750 แพทย์ ยื่นขอ "แพทยสภา" ลงมติกรณี "ทักษิณ" แบบเปิดเผย
"สมศักดิ์" ชี้แจง วีโต้แพทยสภาปมชั้น 14 บอก 15 นาทีน้อยไปแต่จะทำให้ดีที่สุด