ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“สุภลักษณ์” วิเคราะห์ JBC ไทย-กัมพูชา เป็นบวกแต่ไม่เบาใจ ปมแผนที่ยังรอวันปะทุ

ต่างประเทศ
19:01
106
“สุภลักษณ์” วิเคราะห์ JBC ไทย-กัมพูชา เป็นบวกแต่ไม่เบาใจ ปมแผนที่ยังรอวันปะทุ
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ชี้การประชุม JBC ไทย-กัมพูชาคืบหน้าเชิงเทคนิค แต่ยังต้องจับตากัมพูชายื่นข้อพิพาทต่อศาลโลก แนะรัฐไทยเร่งปรับกลยุทธ์สื่อสาร-ชี้แจงบทบาทแผนที่ ลดความสับสนในสังคม

วันนี้ (16 มิ.ย.2568) นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสในรายการจับตาสถานการณ์ เกี่ยวกับการประชุมเจบีซี ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อหาทางออกความขัดแย้งระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามองนัยจากเวทีการประชุม JBC มองว่าเป็นสัญญาณบวก หรือสัญญาณลบอย่างไร ในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่พิพาท

นายสุภลักษณ์กล่าวว่า การประชุม JBC มีผลในเชิงบวกต่อฝ่ายไทย ส่วนที่ถูกบันทึกในการประชุม ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.พิจารณาและอนุมัติรายงานการประชุมครั้งที่ 4 ของคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วมกัมพูชา-ไทย (JTSC) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ก.ค.2567 ณ จ.เสียมเรียบ
2.พิจารณาและหารือเกี่ยวกับการแก้ไข TOR ปี 2546 ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนที่ออร์โธโฟโต้ (ขั้นตอนที่ 2 ในข้อที่ 4 ของ TOR)

3.หารือและอนุมัติการส่งคณะสำรวจร่วม เพื่อลงพื้นที่สำรวจและปักปันเขตแดนจริงระหว่างจุดที่ตกลงกันไว้ของหลักเขตแดน
4.หารือแนวทางการสำรวจพื้นที่ Sector 6 จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ (ตามข้อ IX ของการประชุมครั้งที่ 4 และการประชุมพิเศษ JBC ปี 2552)

ความคืบหน้าในส่วนนี้ แสดงให้เห็นว่า JBC สามารถที่จะดำเนินงาน มีความคืบหน้าไปตามลำดับ เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย ฝ่ายไทยสามารถพูดได้ว่า JBC สามารถที่จะใช้เป็นกลไก ในการแก้ไขข้อพิพาททางเรื่องเขตแดนได้

ในทางกลับกัน นายสุภลักษณ์ชี้ว่า ปัญหาสำคัญคือ จุดยืนของกัมพูชาที่ประกาศชัดเจนก่อนการประชุมว่าจะนำ 3 ปราสาท 1 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ และฝ่ายไทยได้แสดงจุดยืนว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก

ประเด็นที่ก่อให้เกิดความกังวลในไทยคือ การที่กัมพูชาอ้างถึงแผนที่ 1 : 200,000 นายสุภลักษณ์อธิบายว่า แผนที่ฉบับนี้เป็นผลงานของการปักปันเขตแดน ในสมัยที่กัมพูชายังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส สมัยเมื่อ 100 กว่าปีก่อน แผนที่ชุดนี้ถูกกล่าวถึงในบันทึกความเข้าใจปี 2543 ในข้อ 1 (ค) ซึ่งบอกว่าในการจะทำสำรวจ และจะทำหลักเขตแดน ให้อ้างอิงถึงเอกสาร สนธิสัญญา อนุสัญญา 2 ฉบับ คือ อนุสัญญา ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา ค.ศ.1907

ใช้แผนที่ที่เป็นผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการเขตแดน ตามอนุสัญญาและสนธิสัญญานั้น แต่ในผลงานคณะกรรมการ ปรากฏว่ามีแผนที่ออกมา 2 ชุด คือ ชุดหนึ่ง 11 ระวาง และ ชุดหนึ่ง 5 ระวาง และทั้ง 2 ชุดนั้น ใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทและเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่ายแล้วในสมัยอดีต ใช้ในการชี้เขตแดน

นายสุภลักษณ์กล่าวว่า ประเทศไทยยอมรับบทบาทของแผนที่นี้ ในการกำหนดเขตแดนแล้ว แต่มีบางส่วนเข้าใจผิดจากกรณีปราสาทพระวิหาร ว่าฝ่ายไทยปฏิเสธแผนที่ชุดนี้ และมีการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเพื่อลดความสับสน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงการต่างประเทศออกมาตอบโต้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ ไม่รับในแผนที่ 1 : 200,000 ในขณะที่กัมพูชาออกมาพูดถึงแผนที่ 1 : 50,000 และยืนยันจะยื่น 4 พื้นที่พิพาทต่อศาลโลก ดูเหมือนข้อพิพาทนี้จะหาข้อสรุปยาก การประชุม JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย.2568 จะนำไปสู่ผลลัพธ์อะไรได้บ้าง

สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศแถลง ไม่ได้พูดถึงการยอมรับ หรือไม่ยอมรับแผนที่ฉบับนี้ แต่พูดถึงว่า ในที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงแผนที่ชุดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นควรจะแจ้งให้ประชาชนทราบว่า แผนที่ไม่ใช่มีเพียงแค่นี้

และความจริงในการเจรจาปักปันเขตแดน ได้พูดถึงแผนที่หลายฉบับ ส่วนแผนที่ 1 : 50,000 ที่พูดถึงกันนั้น เป็นแผนที่จัดทำขึ้นในภายหลังสนธิสัญญา เพราะฉะนั้นในฐานะทางกฎหมายระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จึงไม่มีความชัดเจน แต่สามารถใช้ประกอบในการเจรจา และการหาเส้นเขตแดนได้

สำหรับการยื่นเรื่องสู่ศาลโลก นายสุภลักษณ์กล่าวว่า เป็นสิทธิของกัมพูชาในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ หากกัมพูชายื่นเรื่อง ศาลจะส่งจดหมายถามประเทศไทยว่า จะร่วมพิจารณาคดีหรือไม่ ซึ่งไทยสามารถปฏิเสธได้ โดยต้องให้เหตุผลที่ชัดเจน

ไทยควรเตรียมพยานหลักฐาน และเหตุผลเพื่อโต้แย้ง ในกรณีที่ต้องเผชิญกระบวนการระหว่างประเทศ พร้อมย้ำว่า JBC ยังมีประโยชน์ในการเจรจาเขตแดนที่ยาวถึง 798 กิโลเมตร ซึ่งพื้นที่พิพาทเป็นเพียงส่วนน้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชามักออกข่าวก่อน ขณะที่ฝ่ายไทยดูเหมือนต้องตามแก้ไขข้อมูลตลอด ควรปรับปรุงการสื่อสารของไทยอย่างไร ให้ทันท่วงทีและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง

นายสุภลักษณ์ วิพากษ์การสื่อสารของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งกองทัพ ว่า ต้อง “ปรับปรุงกลยุทธ์ใหม่” โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์การประชุม JBC ที่พนมเปญ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไทย กำหนดให้โฆษกที่กรุงเทพฯ เป็นผู้สื่อสารเพียงคนเดียว แต่ในความเป็นจริง มีสื่อไทยอย่างน้อย 3 สำนัก เช่น ไทยพีบีเอส ไปเกาะติดสถานการณ์ที่พนมเปญ

ผมเสนอว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลแก่สื่อไทย เกี่ยวกับจุดยืนของทั้งสองฝ่าย และประเด็นที่ตกลงได้หรือไม่ได้ เพื่อสร้างความชัดเจน แต่กระทรวงการต่างประเทศกลับไม่ให้ข้อมูลแม้แต่สถานที่ประชุม ส่งผลให้สื่อไทย ต้องพึ่งข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งนำเสนอมุมมองจากจุดยืนของกัมพูชา ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบด้านการสื่อสาร

ผู้สื่อข่าวถามว่า สามารถมองในอีกมุมหนึ่งได้ไหมว่า คณะผู้แทนไทยที่นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ต้องระมัดระวังในการสื่อสาร เพราะต้องรอหารือกับรัฐบาลก่อนแถลง เพื่อการสื่อสารอย่างรอบคอบ

นายสุภลักษณ์ กล่าวว่า ได้ แต่สะท้อนถึงความไม่พร้อมของไทย ตั้งแต่การเตรียมตัวที่จะไป ท่านทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องเขตแดน รู้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และมีประสบการณ์ในการเจรจาเขตแดนมามากแล้ว เพราะฉะนั้นบางเรื่องท่านใช้วิจารณญาณของท่านได้ กระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องมอบอาณัติให้ชัดเจน แค่ไหนพูดได้ แค่ไหนพูดไม่ได้ ถ้าพูดไม่ได้เลย ถือว่าผิดปกติมาก

อ่านข่าว : ไทยเสียเหลี่ยมเวที “เจบีซี” เกมเก๋าเหนือชั้น “สมเด็จฮุนเซ็น”

ท่าที "ประเทศไทย" กรณีกัมพูชายื่น 4 พื้นที่พิพาทต่อศาลโลก

รู้จัก "แผนที่" ที่มากกว่าแค่เส้น ช่วยบอกทางชี้ชัดเขตแดน