นักสิ่งแวดล้อมระบุ ไทยไม่ใช่ที่ทิ้งสารพิษจากการทำเหมืองแร่ของทุนจีน ในรัฐฉาน เมียนมา การใช้งบประมาณ จากภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล มาสร้างฝายดักสารพิษ ไม่ใช่คำตอบ ทางออกคือรัฐบาล ต้องรีบเจรจากับเมียนมา ว้า และทุนจีน เพื่อปิดเหมือง ต้นเหตุก่อมลพิษแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง
อ่านข่าว : เปิดต้นทางมลพิษ! ขั้นตอนการทำเหมืองทุนจีน ทิ้งสารปนเปื้อนแม่กก-แม่สาย-น้ำโขง
“สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต” ไม่เห็นด้วยกับแนวทางสร้างฝายดักสารพิษในลำน้ำกก ประเทศไทยไม่ใช่โรงกำจัดสารพิษ ชี้กระทบระบบนิเวศ–แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ปิดเหมืองพม่า ว้า คือ คำตอบเดียวของการแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำ เราไม่ใช่โรงกำจัดสารพิษข้ามแดน สารพิษที่เราไม่ได้ก่อและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
จากการลงพื้นที่พบปะชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำกกในประเทศไทย ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จนถึงปากแม่น้ำกก บ้านสบกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ของทีมสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต โดยตัวแทนชาวบ้านในลุ่มน้ำกกในประเทศไทย ต่างแสดงความกังวล และไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกก

โดยระบุว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” และอาจสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ ซึ่งการสร้างฝายเพื่อดักตะกอนอาจช่วยลดสารปนเปื้อนบางส่วนได้ในระยะสั้น แต่ไม่สามารถจัดการกับต้นตอของปัญหา ซึ่งเกิดจากกิจกรรมเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่มีการปล่อยโลหะหนักและสารพิษลงสู่ลำน้ำ
อ่านข่าว : “ธีรรัตน์” คาดหารือเมียนมา กรณี “เหมืองมลพิษ” ปลาย มิ.ย.
สิ่งที่รัฐบาลควรทำก่อนคือ หยุดต้นตอของสารพิษจากเหมือง ไม่ใช่นำงบประมาณจำนวนมหาศาลมาสร้างฝาย ที่อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และยังส่งผลต่อระบบนิเวศของแม่น้ำอีกด้วย
ทางออกที่เหมาะสม ควรเริ่มจากความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยใช้กลไกทางการทูตหรือความตกลงลุ่มน้ำข้ามแดน เพื่อผลักดันให้มีการควบคุม หรือหยุดยั้งการปล่อยสารพิษจากต้นน้ำ หากแนวทางความร่วมมือเหล่านี้ ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงค่อยพิจารณามาตรการทางเทคนิคอย่างการสร้างฝายเป็น “ทางเลือกสุดท้าย”
การสร้างฝายไม่ควรเป็นคำตอบแรกที่รัฐรีบดำเนินการ โดยยังไม่มีความชัดเจนเรื่องประสิทธิภาพ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้การเร่งเจรจาหยุดเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ ที่เป็นสาเหตุหลัก ยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาล รวมถึงขณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้ชุมชนที่ชัดเจน
แต่โครงการสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกก เป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังเร่งออกแบบ เพื่อรับมือกับวิกฤตปนเปื้อนโลหะหนักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งไม่อยู่ในมาตรการข้อเรียกร้องแก้ไขปัญหาเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก รวก สาย โขง
โครงการสร้างฝายดักตะกอน เริ่มจากวันที่ 29 เม.ย.2568 มีการประชุมร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาสารหนู ที่ปนเปื้อนต้นน้ำแม่น้ำกก สาย พร้อมเสนอ “ฝายดักตะกอน” เป็นมาตรการเฉพาะหน้า หลังจากมีการเรียกร้องแก้ไขปัญหาจากภาคประชาชนเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา
ต่อมาวันที่ 8 พ.ค.2568 นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ เดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงราย เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาสารพิษโดยการสร้างฝายดักตะกอน

รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ลงพื้นที่ จ.เชียงราย เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ลงพื้นที่ จ.เชียงราย เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
วันที่ 13 พ.ค.2568 จังหวัดเชียงราย เรียกประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนแก้ปัญหาลุ่มน้ำข้ามพรมแดน นัดแรก โดยมีการนำเสนอแนวทางสร้างฝายดักตะกอนโลหะหนักในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย และตั้งคณะทำงาน 4 ชุด
วันที่ 22 พ.ค.2568 อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ เปิดเผยว่า กรมฯ ร่วมกับกรมการบินพลเรือน สำรวจลำน้ำ และเตรียมออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ มีเป้าหมายลดสารหนูและโลหะหนัก ก่อนน้ำไหลผ่านชุมชน พร้อมติดตั้งกล้องสังเกตการณ์
อ่านข่าว : กมธ.กังวลทำ "ฝายดักตะกอน" น้ำกก ไม่คุ้มค่าทั้ง "ประโยชน์-งบประมาณ"
จนสัปดาห์ต่อมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังสารหนู” ในพื้นที่เชียงใหม่–เชียงราย และมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำ ออกแบบฝายลดตะกอน ส่วนกรมควบคุมมลพิษดูแลการสื่อสารกับประชาชน
ต้นเดือน มิ.ย.2568 คณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ ตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณก่อสร้างฝาย 538 ล้านบาท บำบัด 338 ล้าน/ปี แจ้งว่า ฝายชั่วคราวเริ่มสร้างในเดือน พ.ย.2568 ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ถึงแม้ปัจจุบันโครงการกำลังอยู่ระหว่าง ออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แต่ก็ได้สร้างกังวลใจให้กับชุมชน
เรามีบทเรียนจากฝายดักตะกอนจากลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี ว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาสารพิษได้
1.ฝายไม่ได้ดักโลหะหนักอย่างมีประสิทธิภาพ ตะกอนที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว มีคุณสมบัติสามารถกระจายตัวต่อในน้ำ หรือเคลื่อนที่ตามการไหลของน้ำได้ แม้มีฝายตะกอนที่ถูกดักไว้บางส่วนยังสามารถถูกน้ำซัดพัดกระจายซ้ำ เมื่อมีฝนตกหนักหรือระดับน้ำเพิ่ม
2.ผลกระทบต่อระบบนิเวศการสร้างฝายทำให้ระบบการไหลของน้ำเปลี่ยนไป กระทบการหมุนเวียนของออกซิเจนในน้ำ และแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต
3.ความล่าช้าและขาดการมีส่วนร่วม ไม่มีการประเมินผลกระทบจากชาวบ้านอย่างเพียงพอ ชุมชนคลิตี้ล่างร้องเรียนซ้ำว่า รัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน และแนวทางที่ใช้ไม่ยั่งยืน
4.ค่าใช้จ่ายสูง แต่ผลที่ได้รับไม่คุ้มค่า งบประมาณในโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้รวมทั้งฝายและการล้างตะกอนใช้งบประมาณกว่า 460 ล้านบาท แต่พื้นที่ยังคงปนเปื้อน และชาวบ้านยังไม่สามารถใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคได้เต็มรูปแบบ
5.ศาลปกครองสูงสุดชี้ให้รัฐต้องรับผิด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในปี 2556 ให้ กรมควบคุมมลพิษรับผิดชอบฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้กลับสู่สภาพเดิมชี้ว่าแนวทางที่ใช้ในอดีต “ไม่เพียงพอ” และ “ไม่ตรงจุด” จำเป็นต้องจัดทำแผนใหม่ร่วมกับชุมชน
อ่านข่าว : ข้อมูลเหมืองรัฐฉานยังไม่เคลียร์ "กรมทรัพยากรน้ำ-คพ." ดันผุดฝายใช้งบกว่า 7.6 พันล้าน

สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
ฝายไม่ใช่ทางออก ต้องแก้ที่ต้นเหตุ และผู้ก่อมลพิษ
ด้านนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล กรณีแม่น้ำกกปนสารพิษ ด้วยการเสนอสร้างฝายดักตะกอน ในมุมของคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม จะมีผลกระทบในด้านแรกคือ การสร้างฝายหรือเขื่อน จะส่งผลกระทบโดยรวมต่อระบบนิเวศแม่น้ำในพื้นที่นั้น ๆ โดยเฉพาะการอพยพเคลื่อนย้ายของพันธุ์ปลาในช่วงของฤดูกาลวางไข่
การสร้างเขื่อนดักตะกอน ยังทำให้สารเคมีไปกองอยู่เป็นจุดหลังเขื่อน ยิ่งส่งผลกระทบเชิงลบ ต่อความหลากหลายทางชีวภาพในจุดนั้น ซึ่งต้นตอของปัญหาคือ การปล่อยสารพิษจากเหมืองแร่ ที่เรายังไม่สามารถควบคุมหรือยับยั้งได้ที่ต้นเหตุ เป็นเหตุผลที่ว่า ฝายดักตะกอนสารพิษ จึงไม่เหมาะสมในการก่อสร้างในตอนนี้
อีกอย่างคือ การแก้ไขปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ท้ายน้ำ แต่ควรเป็นความรับผิดชอบของกลุ่มธุรกิจ ที่ไปลงทุนในพื้นที่ต้นน้ำ ที่จะต้องมาแสดงความรับผิดชอบ ต่อความเสียหายที่เขาทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ความเสียหายที่ประชาชนคนไทยต้องมาแบกรับ
งบประมาณที่จะนำมาใช้สร้างเขื่อนหรือฝาย เป็นเงินภาษีของประชาชน โดยหลักการการแก้ไขนี้ ผมว่ามันไม่ถูกต้อง ต้องให้ต้นทางแก้ไขปัญหาการปล่อยสารพิษลงน้ำ ถ้าทำไม่ได้คุณต้องปิดเหมืองเท่านั้น

การเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก เพื่อตรวจหาสารพิษ
การเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก เพื่อตรวจหาสารพิษ
ด้านนายสายัณน์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่าสถานการณ์ปัจจุบันการตรวจค่าสารโลหะหนักปนเปื้อนในแหล่งน้ำ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง เกินค่ามาตรฐานทุกจุด
ปัญหาที่ต้องทำเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การจัดหาน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่นอกเขตประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งในขณะนี้ชาวบ้านใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ต้องซื้อน้ำดื่มน้ำใช้ในราคาที่แพง คือ 1,200 ลิตร 150 บาท ใน 1 เดือนมีค่าใช้จ่ายด้านน้ำสะอาด ครอบครัวละมากกว่า 3,000 บาท อันเป็นผลมาจากการห้ามใช้น้ำในแม่น้ำกกโดยตรง และความกังวลใจต่อคุณภาพน้ำในบ่อน้ำตื้นของชาวบ้าน จึงไม่กล้าเสี่ยงใช้น้ำ จากแม่น้ำกกและบ่อน้ำตื้นของตัวเอง
อ่านข่าว : มุมมองวิศวกรรม บทเรียนฟื้นเหมืองคลิตี้ ถึงการสร้างเขื่อนแก้สารพิษแม่น้ำกก จ.เชียงราย
สารพิษข้ามแดนที่เราไม่เต็มใจรับ และเราก็ไม่เต็มใจที่จะจ่าย เพื่อแก้ปัญหาสารพิษด้วยเงินภาษีของพวกเรา โดยผู้ก่อสารพิษไม่รับผิดชอบใด ๆ เลย ประเทศไทยและชาวบ้านในลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง ไม่ได้มีหน้าที่เป็นโรงกำจัดสารพิษ เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำเหมืองในพม่า ว้า โดยทุนจีน
นายสายัณน์กล่าวต่อว่า การทำเหมืองต้นน้ำทำนอกเขตประเทศไทย ส่งสารพิษมาให้ประเทศไทยบำบัด การสร้างฝายดักสารพิษ เท่ากับว่าเรายอมรับ เราเต็มใจ เป็นโรงกำจัดสารพิษ อย่างเต็มใจและสมยอม ยอมที่จะเอาเงินภาษีของประชาชนผู้ที่จะได้รับสารพิษไปใช้แทนผู้ก่อสารพิษ
ขอเรียกร้องการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจากรัฐบาลในขณะนี้ ให้จัดหาน้ำดื่มน้ำใช้สะอาดบริการให้ชุมชน จนกว่าสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำกก สาย รวก โขง จะคลี่คลายไปสู่ปกติ
ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำ กก สาย รวก โขง ที่เรียกร้องให้ปิดเหมืองในพม่า ว้า เพื่อหยุดปัญหาสารพิษปนเปื้อนในลำน้ำอย่างเร่งด่วนที่สุด ต้องเจรจาปิดเหมืองสารพิษก่อนเป็นอันดับแรก
การสร้างฝายไม่ใช่การแก้ปัญหาเร่งด่วน และไม่ใช่คำตอบแรกของการแก้ไขปัญหา ต่อให้เราสร้างฝายเป็นหมื่นแห่ง ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าไม่แก้หรือปิดเหมืองต้นเหตุ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างฝายดักสารพิษ เพื่อทำหน้าที่เป็นโรงกำจัดสารพิษข้ามพรมแดนให้ผู้ก่อ

อ่านข่าว : ส่งปลาแม่น้ำกกตรวจหาสารพิษปนเปื้อน ห่วงช่วงวางไข่กระทบพันธุ์ปลา
ข้อมูลฝายดักตะกอนในแม่น้ำกก
โครงการก่อสร้างฝายดักตะกอนเพื่อแก้ไขปัญหากรณีพบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานใน “แม่น้ำกก” ระยะเร่งด่วน กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
งบประมาณการก่อสร้างระยะสั้น รวม 976 ล้านบาท
1.ระบบดักตะกอนแบบฝายและตัวกลางดูดซับชั่วคราว จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 538 ล้านบาท
2.แก้มลิงร่วมกับบึงประดิษฐ์ลอยน้ำ 14 แห่ง งบประมาณ 438 ล้านบาท
งบประมาณก่อสร้างระยะยาว รวม 7,640 ล้านบาท
1.ประตูระบายน้ำแบบขั้นบันไดสำหรับระยะยาว 13 แห่ง งบประมาณ 7,640 ล้านบาท

แปลนการก่อสร้างฝายดักสารพิษ ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงความเร่งรีบของรัฐบาลในการก่อสร้าง การอนุมัติงบประมาณ แทนที่จะแก้ปัญหาที่ต้นทางเหมืองแร่
แปลนการก่อสร้างฝายดักสารพิษ ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงความเร่งรีบของรัฐบาลในการก่อสร้าง การอนุมัติงบประมาณ แทนที่จะแก้ปัญหาที่ต้นทางเหมืองแร่
งบประมาณการบำรุงรักษาระยะยาว รวม 295 ล้านบาท
1.ขุดลอกตะกอน (ฝายดักตะกอน) จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 200ล้านบาท/ปี
2.ขุดลอกตะกอน (แก้มลิง) จำนวน 14 แห่ง งบประมาณ 70 ล้านบาท/ปี
3.เปลี่ยนตัวกลางดูดซับชั่วคราว (ฝายดักตะกอน) จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 23 ล้านบาท/ปี
4.เปลี่ยนทุ่นดักสวะ Log Boom (ฝายดักตะกอน) จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 2 ล้านบาท/ปี
อ่านข่าว : "นักวิชาการ-นักสิ่งแวดล้อม" ติงรัฐผุดฝายดักสารพิษ อาจสร้างปัญหาใหม่-สารพิษกระจายมากขึ้น