ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ถ้าอิหร่านปิด "ช่องแคบฮอร์มุซ" โลกจะเผชิญอะไรบ้าง ?

ต่างประเทศ
21:33
3,403
ถ้าอิหร่านปิด "ช่องแคบฮอร์มุซ" โลกจะเผชิญอะไรบ้าง ?
อิหร่านกำลังพิจารณาปิดช่องแคบฮอร์มุซ หลังรัฐสภาไฟเขียว โดยคณะความมั่นคงสูงสุดอยู่ระหว่างตัดสินใจขั้นสุดท้าย ช่องแคบนี้เป็นทางผ่านน้ำมันและก๊าซราว 20% ของโลก แม้ยังไม่สรุปชัด แต่สถานการณ์สร้างแรงกดดันต่อความมั่นคงพลังงานทั่วโลก

วันนี้ (22 มิ.ย.2568) อิหร่านกำลังพิจารณาอย่างจริงจังที่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดย Esmail Kosari สมาชิกรัฐสภาและหัวหน้าคณะกรรมาธิการกลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน ได้กล่าวว่าเรื่องนี้อยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างจริงจัง ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน Seyed Abbas Aragchi กล่าวเพียงว่า "อิหร่านมีทางเลือกที่หลากหลาย"

การพิจารณานี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ โจมตีเป้าหมายทางทหารของอิหร่านหลายแห่ง และการโจมตีตอบโต้กันระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านยังคงดำเนินต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำนักงานปฏิบัติการการค้าทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักร (UKMTO) และบริษัทรักษาความปลอดภัยทางทะเล Ambrey ยืนยันว่า ช่องแคบฮอร์มุซยังคงเปิดให้บริการและไม่มีรายงานผลกระทบต่อการเดินเรือ การจราจรทางทะเลยังคงเป็นไปตามปกติ โดยเฉลี่ยมีเรือขนส่งสินค้าประมาณ 114 ลำ/วัน แม้จะมีความตึงเครียดในระดับ "เข้มข้น" ในภูมิภาค และมีการรายงานระดับสัญญาณรบกวนระบบ GPS ที่สูงอย่างต่อเนื่องในบริเวณอ่าวเปอร์เซียและช่องแคบฮอร์มุซ

ทำความรู้จัก "ช่องแคบฮอร์มุซ"

ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญอย่างยิ่ง ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานและอิหร่าน โดยเชื่อมต่ออ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย ช่องแคบนี้มีความกว้างเพียง 33 กิโลเมตร (ประมาณ 20 ไมล์ทะเล) ณ จุดที่แคบที่สุด และช่องทางเดินเรือสำหรับการเข้าและออกมีเพียงช่องละ 3 กิโลเมตรเท่านั้น

ด้วยความแคบนี้ ทำให้ง่ายต่อการปิดกั้นหรือโจมตีเรือที่ผ่านไปมา แม้จะมีการถกเถียงเรื่องสถานะทางกฎหมาย แต่โดยหลักแล้วช่องแคบฮอร์มุซอยู่ภายใต้น่านน้ำอาณาเขตของอิหร่านและโอมาน ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐอื่น ๆ มีสิทธิในการผ่านช่องแคบ (Transit passage) อย่างกว้างขวางตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS)

จุดคอขวด "น้ำมัน" ที่สำคัญของโลก

ช่องแคบฮอร์มุซได้รับการยกย่องว่าเป็น "จุดคอขวดสำคัญที่สุดในการขนส่งน้ำมันของโลก" (World's most important oil transit chokepoint) ในปี 2566 ปริมาณน้ำมันที่ไหลผ่านช่องแคบนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 20.9 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณร้อยละ 20 ของการบริโภคน้ำมันทั่วโลก และคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก

นอกจากน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแล้ว ช่องแคบฮอร์มุซยังเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออก LNG ทั้งหมดของกาตาร์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของการค้า LNG ทั่วโลกในปี 2566 แต่ละเดือนมีเรือประมาณ 3,000 ลำใช้เส้นทางนี้เข้าและออกจากอ่าวเปอร์เซีย ไม่มีเส้นทางเดินเรือทางทะเลอื่นใดที่จะใช้ขนส่งสินค้าออกจากอ่าวเปอร์เซียได้นอกจากช่องแคบฮอร์มุซ

พลังงานโลกสะเทือนเมื่อฮอร์มุซถูกปิด

การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลกระทบทันทีและรุนแรงต่อราคาน้ำมันทั่วโลก ซึ่งจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล หรืออาจสูงถึง 110 ดอลลาร์ ซึ่งจะนำไปสู่เงินเฟ้อทั่วโลกและอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หรือเกิดภาวะถดถอย ค่าขนส่งและเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นอย่างมาก

อิหร่านสามารถปิดฮอร์มุซได้หลายวิธี เช่น วางทุ่นระเบิดในทะเล โจมตีเรือที่ผ่านไปมาด้วยขีปนาวุธและระเบิด กักเรือ หรือโจมตีทางไซเบอร์ต่อเรือ ซึ่งอิหร่านได้สะสมขีดความสามารถในการโจมตีทางทะเลมานานหลายทศวรรษ รวมถึงขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธวิถีโค้ง โดรนพลีชีพ ทุ่นระเบิดทางทะเล เรือเร็วโจมตีขนาดเล็ก เรือดำน้ำขนาดเล็ก ยานยนต์พื้นผิวน้ำและใต้น้ำไร้คนขับ และขีปนาวุธ/โดรนที่ยิงจากชายฝั่ง

แต่แม้จะเคยข่มขู่มาหลายครั้งในอดีต รวมถึงช่วงสงครามเรือบรรทุกน้ำมันในทศวรรษ 1980 ระหว่างอิหร่าน-อิรัก แต่อิหร่านไม่เคยปิดช่องแคบนี้อย่างสมบูรณ์

เพราะการปิดช่องแคบจะส่งผลเสียต่ออิหร่านเองรวมถึงพันธมิตรด้วย เนื่องจากอิหร่านพึ่งพาช่องแคบนี้ในการค้าขายของตนเอง นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวจะทำให้อิหร่านแปลกแยกจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ซาอุดีอาระเบีย และทำให้พันธมิตรสำคัญอย่างจีนไม่พอใจ เพราะจีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่จากอิหร่านและไม่ต้องการให้การไหลเวียนของน้ำมันหยุดชะงักหรือราคาพุ่งสูงขึ้น

นอกจากนี้ การใช้กำลังทางทหารเพื่อปกป้องการเดินเรือโดยไม่ได้รับอำนาจจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จะถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย กฎหมายระหว่างประเทศยังคงคลุมเครือว่าการโจมตีเรือพาณิชย์เพียงลำเดียวจะถือเป็นการโจมตีด้วยอาวุธที่อนุญาตให้ใช้สิทธิป้องกันตนเองได้หรือไม่ การจับกุมเรือ แม้จะผิดกฎหมาย ก็ไม่ถือเป็นการโจมตีด้วยอาวุธ

มีเพียงซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้นที่มีท่อส่งน้ำมันที่สามารถเลี่ยงช่องแคบฮอร์มุซได้ (ท่อส่ง East-West ของซาอุดีอาระเบีย และท่อส่ง Fujairah ของ UAE) แต่กำลังการขนส่งรวมกันของท่อเหล่านี้ (ประมาณ 2.6 – 4.2 ล้านบาร์เรล/วัน) เป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันปกติที่ไหลผ่านช่องแคบฮอร์มุซ (20 ล้านบาร์เรล/วัน) ซึ่งหมายความว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ปฏิบัติได้จริง ๆ สำหรับปริมาณการขนส่งส่วนใหญ่

เอเชีย (จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ปากีสถาน) จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากพึ่งพาน้ำมันและ LNG จากอ่าวเปอร์เซียอย่างหนัก อินเดียจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคา ยุโรปพึ่งพา LNG จากกาตาร์สูง สถานการณ์ในทะเลแดงที่เกิดจากการโจมตีของกลุ่มฮูตีแสดงให้เห็นว่าภัยคุกคามที่จำกัดต่อเรือพลเรือนก็สามารถส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงได้

การตอบสนองจากนานาชาติหาก "ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดจริง" สหรัฐฯ มีกองเรือที่ 5 ประจำการอยู่ที่บาห์เรนและสามารถตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การกู้คืนความเชื่อมั่นในการเดินเรือให้ปลอดภัยภายใต้สถานการณ์การโจมตีอาจใช้เวลานานเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือน และต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การปิดช่องแคบจะบีบให้รัฐในอ่าวอาหรับต้องดำเนินการหรือสนับสนุนการแทรกแซง เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศที่พึ่งพาน้ำมันและก๊าซอย่างหนัก สหรัฐฯ ได้เตือนอิหร่านแล้วว่าการโจมตีกองกำลังต่างชาติที่ช่วยเหลืออิสราเอลจะถูกตอบโต้

โดยรวมแล้ว การปิดช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่านจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก แม้จะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับศักยภาพและความเต็มใจของอิหร่านในการดำเนินการดังกล่าว แต่ก็ยังคงเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลที่อาจส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก

แหล่งข้อมูล : The Jerusalem Post, NDTV World, Reuters,

อ่านข่าวอื่น :

ผู้นำโลกเรียกร้องเจรจาด่วน! สหรัฐฯ ถล่มนิวเคลียร์อิหร่าน

เทลอาวีฟระส่ำ! ขีปนาวุธอิหร่านถล่ม เจ็บ 86 คน