การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568 น่าสนใจตรงที่มีผู้แทนจากสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมการหารือด้วย ท่ามกลางการจับตามองถึงบทบาทของมหาอำนาจโลกในการยุติความขัดแย้งที่เรื้อรังมานานของสองเพื่อนบ้านในอาเซียน การยื่นมือเข้ามาของสหรัฐฯ และจีนในครั้งนี้เป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ อย่างน้อยๆ การขยับของสหรัฐฯ ถือเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้การเจรจาเกิดขึ้นได้และให้ผลเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่งด้วย
ผ่านมาแล้วมากกว่า 10 ชั่วโมง นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาเริ่มมีผลบังคับใช้ เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา แต่โจทย์ใหญ่นับจากนี้อาจจะไม่ได้มีแค่เรื่องการคงสถานะหยุดยิงต่อไปเรื่อยๆ แต่เป็นการตกลงกันของสองประเทศในประเด็นอ่อนไหวเรื่องเขตแดนที่อาจจะทำให้ความขัดแย้งปะทุขึ้นมาได้อีกครั้ง

ภาพการจับมือกันระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นโซ่ข้อกลาง ประสานรอยร้าว สะท้อนภาพบรรยากาศการหารือเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ได้เป็นอย่างดี
อ่านข่าว : ไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลงหยุดยิงไม่มีเงื่อนไข มีผลเที่ยงคืน 28 ก.ค.
โดยผู้นำทั้งสองประเทศคู่ขัดแย้งนั่งโต๊ะพูดคุยกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะรุนแรงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีทหารและพลเรือนในทั้งสองฝั่งเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 30 คน ตลอดช่วงการปะทะนาน 5 วัน และมีผู้พลัดถิ่นอีกกว่า 3 แสนคน
ด้านผู้นำกัมพูชาใช้โอกาสขณะแถลงข่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า ผลจากการหารือจะเปิดโอกาสให้ประชาชนในทั้งสองประเทศได้กลับมาใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ รวมทั้งยังระบุด้วยว่า ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มสร้างความเชื่อมั่นและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัมพูชาและไทยให้กลับคืนมาอีกครั้ง
อันวาร์ ระบุว่า ไทยและกัมพูชาเห็นชอบร่วมกันบนโต๊ะหารือใน 3 ข้อหลักๆ โดยข้อแรก ทั้งสองประเทศจะหยุดยิงทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเริ่มมีผลไปแล้วตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืน ขณะที่ในช่วงเช้ากองทัพภาคที่ 1 และ 2 ของไทย กับกองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของกัมพูชา ได้เข้าร่วมประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจจะตามมาด้วยการประชุมผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร โดยมีประธานอาเซียนเป็นผู้จัด หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน
ส่วนข้อสุดท้าย ไทยและกัมพูชาตกลงจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ โดยมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนแสดงความพร้อมที่จะช่วยประสานงานกับทีมสังเกตการณ์เพื่อยืนยันถึงการบังคับใช้ข้อตกลงเหล่านี้

จุดหนึ่งที่น่าสนใจในการเจรจาเมื่อวานนี้ นั่นคือ การที่อันวาร์ ระบุว่า มาเลเซียจะปรึกษากับอาเซียนชาติอื่นๆ เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์ด้วย ซึ่งสะท้อนถึงการให้คำมั่นเรื่องการสนับสนุนสันติภาพในระดับภูมิภาค หรืออาจจะพูดง่ายๆ ก็คือ มาเลเซียหวังที่จะดึงเพื่อนๆ ในภูมิภาคมาช่วยกันป้องกันความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย
มองในด้านหนึ่ง ท่าทีดังกล่าวของมาเลเซียอาจจะแตกต่างจากอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนที่เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบที่แล้ว เมื่อปี 2011 หรือ พ.ศ.2554
ในตอนนั้น อินโดนีเซียเข้ามามีบทบาทค่อนข้างมาก ทั้งการพารัฐมนตรีต่างประเทศไทยและกัมพูชาไปพูดคุยกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ที่นิวยอร์กด้วยตัวเอง การจัดเวทีประชุมอาเซียนนัดพิเศษ การเสนอตัวเป็นผู้สังเกตการณ์การบังคับใช้ข้อตกลงไทย-กัมพูชา ไปจนถึงการจัดประชุมสามฝ่ายที่กรุงจาการ์ตา แต่อินโดนีเซียก็ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะกดดันไทยและกัมพูชาให้ทำตามได้
อีกจุดที่น่าสนใจบนโต๊ะเจรจาเมื่อวานนี้ คือ นอกจากจะมีผู้นำมาเลเซียเป็นเจ้าภาพแล้ว สหรัฐฯ และจีนยังส่งเอกอัครราชทูตของตัวเองที่ประจำอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ถ้าตั้งใจฟังการแถลงข่าวของผู้นำทั้ง 3 ประเทศหลังการประชุม จะได้ยินชัดเจนว่า ทั้งมาเลเซีย กัมพูชาและไทยต่างขอบคุณสหรัฐฯ โดยเฉพาะโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงจีนที่สนับสนุนการเจรจาหาทางออกอย่างสันติ ซึ่งจุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามามีบทบาทของมหาอำนาจโลกในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาได้อย่างชัดเจน
อ่านข่าว : "ทรัมป์" ไฟเขียวเจรจาการค้าต่อ หลังไทย-กัมพูชา หยุดยิง
บทบาทของสหรัฐฯ ในรอบนี้ ชัดเจนว่า มีส่วนสำคัญในการกดดันให้ทั้งไทยและกัมพูชายอมมานั่งโต๊ะเจรจาร่วมกันได้ หลังจากทรัมป์ต่อสายคุยกับผู้นำกัมพูชาและไทย ขณะที่เวที UNSC ก็ผลักบทบาทตัวกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไปให้กับอาเซียนเป็นโต้โผใหญ่
แต่เมื่อการพูดคุยของทรัมป์ไม่ได้ทำให้ไทยกับกัมพูชาหยุดยิงตามที่หวัง ผู้นำสหรัฐฯ จึงหยิบประเด็นเรื่องการเจรจากำแพงภาษีมาเป็นเครื่องมือกดดัน ซึ่งก็ได้ผลทันที โดยเจ้าภาพมาเลเซียยกให้สหรัฐฯ มีสถานะเป็นผู้ร่วมจัดการประชุมเมื่อวานนี้
เมื่อสหรัฐฯ ส่งคนมานั่งโต๊ะเจรจายุติความขัดแย้งของสองประเทศพันธมิตรของจีนในอาเซียน ซึ่งถือเป็นภูมิภาคหลังบ้านของจีนด้วย จึงไม่แปลกที่จีนจะส่งคนของตัวเองเข้าร่วมการประชุมนี้ด้วย หลังจากจีนเคลื่อนไหวสนับสนุนให้ไทยกับกัมพูชาพูดคุยกัน แบบไม่ค่อยออกตัวแรงสักเท่าไหร่ ตั้งแต่สถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มคุกรุ่น ก่อนที่จะมีการปะทะกันเสียอีก
หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงที่มาเลเซียไปแล้ว ปรากฏว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา จนถึงเช้าวันนี้ ก็ยังมีรายงานการปะทะกันในหลายจุด ทั้งที่ภูมะเขือ พื้นที่ปราสาทตาควายและพื้นที่ซำแต หากยังคงมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้ สหรัฐฯ จีนและมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้คงต้องกุมขมับกันไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
อ่านข่าว :
ชายแดนไทย-กัมพูชา หยุดยิงตามเดดไลน์เที่ยงคืน หลังปะทะเดือด 10 นาทีสุดท้าย