แม้ในทางทฤษฎี และคำยืนยันของแกนนำพรรคเพื่อไทย ย้ำว่าไม่มีปัญหาเสียงสนับสนุน แต่ในทางปฏิบัติกลับสวนทาง
ทุกครั้งที่ฝ่ายค้านเสนอนับองค์ประชุม จะมีปัญหา เนื่องจาก สส.รัฐบาลที่มีเสียงรวมกัน 262 คน แทบไม่เคยเข้าร่วมประชุมเกินครึ่งของ สส.ทั้งสภาที่มีอยู่ คือ ไม่เคยถึง 248 คนเลย
ข้ออ้างหนึ่ง เป็นเพราะติดประชุมกรรมาธิการ ทั้งที่เคยมีเสนอให้ประชุมคนละวันกับสภาใหญ่ และยังพยายามใช้วิธีกดออดเตะถ่วงเรียกเข้าห้องประชุม แต่ไม่ได้มรรคผล
ที่นิยมใช้ตอนนี้ คืออาศัยความเก๋า แต่ไม่ยอมรักษาภาพพจน์ความน่าเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อสภา ประธานในที่ประชุม จะชิงปิดประชุมทันที เพื่อเลี่ยงคำว่า “สภาล่ม”
โดยไม่สนค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแอร์ ค่าอาหารที่เป็นสวัสดิการที่สภาต้องจัดเตรียมไว้ให้ มื้อละ 861 บาท ยังไม่นับเวลาที่ถูกท่านเผาเล่น
ล่าสุด ต้อนรับรองประธานสภาคนที่ 1 คนใหม่ แต่เป็น สส.รุ่นลายคราม วัย 65 ปี นายไชยา พรหมา ที่เคยกระเด็นจากรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตามแนวทางเก้าอี้ดนตรีผลัดกันชม
กว่าจะเลือกได้ต้องลากดึงตั้งแต่เช้าไปถึงช่วงบ่าย มี สส.แสดงตนเกินครึ่งแค่ 2 คน แสดงวิสัยทัศน์เสร็จ อ้างระเบียบไร้คู่แข่ง ได้เป็นรองประธานสภาทันที
โดยมีรองคนที่ 2 ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง และเป็น สส.อาวุโสอีกคน นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด วัย 68 ปี มีส่วนร่วมในฐานะประธานการประชุม คนนี้ก็โชว์เก๋า ชิงปิดประชุมสถาในการทำหน้าที่วันแรกไปก่อนหน้านี้แล้ว
กว่าจะได้รองประธานสภาคนที่ 1 มีการประท้วงจาก สส.ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ 2 พี่น้อง ตระกูลปริศนานันทกุล จากพรรคภูมืใจไทย จนคนพี่วอล์คเอ้าท์ ขณะที่ สส.พรรคประชาชน ไม่ขอเป็นองค์ประชุม
สส.ภูมิใจไทย ยังรวมตัวแถลงข่าว พาดพิงแสดงความผิดหวังไปถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ กรณีรีบปิดประชุมสภาฯ หลังเลือกรองประธานจบ
เพราะเป็นการปิดโอกาส ไม่ให้ สส.ได้ทำหน้าที่อภิปราย สอบถามมาตรการดูแลเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่รอต่อคิวอยู่
ทำให้ต้องไปอีก 1 สัปดาห์ แม้ว่าปัญหาและความเดือดร้อนของคนนั้นรอไม่ได้
เท่ากับสะท้อนว่าเรื่องของนักการเมืองด้วยกันสำคัญกว่าประชาชน และยังเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ประธาน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา วัย 81 ปี จากพรรคประชาชาติ ถูกวิพากษ์การทำหน้าที่ประธาน เอนเอียงไปทางฝ่ายรัฐบาล
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการประชุมสภาหลายครั้งต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพ ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี เพียงแค่ฝ่ายรัฐบาลต้องการยื้อเวลา เพื่อรอให้ผ่านคดีสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หรือคดี “นายใหญ่” นายทักษิณ ชินวัตร
รวมทั้งเพื่อผลักดันเรื่องหลักๆ และจำเป็นต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบปี 2569 ที่จะเข้าวาระ 2-3 วันที่ 13-15 ส.ค. หรือ การเร่งเดินหน้านโยบายเรือธงเพื่อใช้หาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า อาทิ ราบยาเสพติด หรือรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย
และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เพื่อจัดวางคนใหม่ รองรับในการเลือกตั้ง ดังที่ได้เห็นในหลายกระทรวง โดยเฉพาะมหาดไทย
การประชุมสภา จึงถูกสนใจแต่เป้าหมาย ไม่สนใจวิธีการ จะฉาวจะเน่าในอย่างไร แต่ต้องดันทุรังทำแข่งกับเวลา จึงเป็นคำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุด ของสภาผู้แทนฯ ขณะนี้
ข้ออ้าง “สภาล่ม” กลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว เพราะนักการเมืองใหม่แบบ “ศรีธนญชัย” มีเดินกันให้พล่านไปหมด
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : รอง ผบก.ป. พบ “หมอบี” มีมูลความผิด ดึงเงินบริจาคใช้ผิดวัตถุประสงค์
เริ่มแล้วโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ จ้างงาน "ผู้ช่วยดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง"
แท็กที่เกี่ยวข้อง: