เทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงของคนในยุคปัจจุบันมีรูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบางกลุ่มเจ้าของอาจมีวิวัฒนาการสู่การเลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัวแบบตามใจ หรือเรียกว่า “ทาสหมา-ทาสแมว” (Petriarchy) ที่เจ้าของเลือกที่จะซื้อของให้สัตว์เลี้ยงเพื่อตอบสนองความพอใจส่วนตน ส่งผลให้การจับจ่ายในส่วนของอุปกรณ์และค่าดูแลมีทิศทางเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2568 จะมีมูลค่าราว 9.2 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 13.2% จากปีที่ผ่านมา บนความคาดหวังมูลค่าตลาดทะลุแสนล้านในปี 2569 จากรูปแบบการเลี้ยงสัตว์ในยุคปัจจุบันที่กำลังเริ่มพัฒนาไปได้ไกลกว่าแค่การเลี้ยงเสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว เข้าสู่บริบทใหม่ที่สัตว์เลี้ยงมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
คนไทยเปย์สัตว์เลี้ยง ปีละ 5หมื่นบาท
โดยคาดว่าปัจจุบันค่าเลี้ยงดูเฉลี่ยของการเลี้ยงแบบสมาชิกในครอบครัวอยู่ที่ราว 50,500 บาทต่อตัวต่อปี หรือเพิ่มขึ้นกว่า 22.9% จากปีก่อนที่อยู่ราว 41,100 บาทต่อตัวต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระแบบดั้งเดิมที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 7,910 บาทต่อตัวต่อปีถึง 6 เท่าตัว ชัดว่าการยกระดับบทบาทสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวได้สร้างเม็ดเงินสะพัดในธุรกิจสัตว์เลี้ยงอย่างมีนัย และเป็นแรงส่งสำคัญในการผลักดันให้มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตในปี 2568 อยู่ที่ 9.2 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 13.2% บนการเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 6 ปี (2562-2568) ที่เฉลี่ยสูงถึงปีละ 18.9%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังมักเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน และคนรุ่นใหม่ที่มีบุตรช้าหรือไม่แต่งงานก็นิยมเลี้ยงสัตว์มาก ทำให้ไทยมีโอกาสขยายตลาดได้ในหลากหลายภูมิภาค เนื่องจากความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่ว
นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคในหลายประเทศที่หันมาสนใจสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น มาจากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ผู้ซื้อจึงหันมาสนใจสินค้าเกรดพรีเมียมจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ซึ่งความต้องการสินค้ากลุ่มนี้

ดังนั้นผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลายฟังก์ชัน เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพ วิตามินสูง สัตว์เลี้ยงเด็ก สัตว์เลี้ยงป่วยหรือชรา โดยมีสูตรที่หลากหลายและใช้วัตถุดิบคุณภาพ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคตามเทรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี
ปี2567 ส่งออกอาหารสัตว์ไทยขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของโลก
จากข้อมูล พิกัดศุลกากร 230910 แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์การค้าสินค้าอาหารสุนัขและแมว ของโลกและไทย โดยในปี 2567 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมว อันดับที่ 2 ของโลก มูลค่า 2,677.03 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว29 % เทียบกับปีก่อนหน้า และมีสัดส่วน 10% ของมูลค่าส่งออกอาหารสุนัขและแมวของทั้งโลก ตามหลังเยอรมนี ที่ครองอันดับที่ 1 มาหลายปี โดยเยอรมนีส่งออกเป็นมูลค่า 3,282.69 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 12.3% ของมูลค่าส่งออกรวมของโลก
สำหรับประเทศผู้ส่งออกสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออก 2,520.71 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.4% โปแลนด์ มูลค่าการส่งออก 2,408.40 ล้านเหรียญสหรัฐ 9% และฝรั่งเศส มูลค่าการส่งออก 2,307.87 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8.6%

ชี้สินค้าไทยภาพลักษณ์ดีครองใจคนรักสัตว์
นายพูนพงษ์ฯ กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดอาหารสุนัขและแมวทั่วโลกคึกคักเป็นอย่างมาก ปี 2567 มีมูลค่าการนำเข้ารวมของโลกสูงถึง 26,466.28 ล้านเหรียญสหรัฐ ประเทศผู้นำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก คือ เยอรมนี รองลงมา คือ สหราชอาณาจักร โปแลนด์ และแคนาดา
ศักยภาพการแข่งขันของไทยในสินค้าอาหารสุนัขและแมวถือได้ว่ามีเสถียรภาพและมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องและในหลากหลายตลาด เนื่องจากไทยมีจุดเด่นและมีภาพลักษณ์ที่ดีในด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอาหาร ซึ่งรวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงด้วย
ทั้งนี้ปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวของไทย มีมูลค่า 2,677.03 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 29% เทียบกับปีก่อนหน้า ขยายตัวดีทั้งในตลาดหลักที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ มีมูลค่า 868.40 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 47% ตลาดสำคัญรองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย ซึ่งการส่งออกอาหารสุนัขและแมวจากไทยไป 5 ตลาดอันดับแรกดังกล่าว มีสัดส่วนรวมกันถึง 62.3% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสุนัขและแมวจากไทยไปโลก

สำหรับตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ขยายตัว 47% มูลค่า 349.58 ล้านเหรียญสหรัฐ ในตลาดสำคัญๆ เช่น อิตาลี เยอรมนี เบลเยียม ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ส่วนของตลาดเอเชีย ได้แก่ ตลาดอาเซียน ยังเติบโตต่อเนื่อง อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์
ขณะที่ตลาดเอเชียตะวันออก เช่น ไต้หวัน มีมูลค่าการส่งออก 95.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18% จีน ขยายตัว18% และเกาหลีใต้ ขยายตัว 18% แม้สัดส่วนสินค้าไทยไปตลาดนี้ยังไม่สูงนัก แต่การส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวของไทยก็ขยายตัวได้ดี สำหรับตลาดเอเชียใต้ซึ่งมีอินเดีย เป็นตลาดส่งออกสำคัญ

“ตะวันออกกลาง”ตลาดใหม่น่าจับตา
สำหรับตลาดตะวันออกกลาง ถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่ไทยยังส่งออกไปน้อย แต่มีตลาดศักยภาพที่น่าจับตามอง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต อิสราเอล และตุรกี รวมถึงประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ ลิทัวเนีย สาธารณรัฐเช็ก และโรมาเนีย
ผอ.สนค. กล่าวอีกว่า นอกจากเทรนด์ความต้องการสินค้าอาหารฟังก์ชันและเกรดพรีเมียมแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากผู้ส่งออกไทยสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์แนวโน้มดังกล่าวได้ จะมีโอกาสขยายการส่งออกทั้งในตลาดหลัก เช่น ยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงโซนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออกด้วย

สำหรับการส่งออกช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมวเป็นมูลค่า 1,685.74 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.72% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยส่งออกไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 609.86 ขยายตัว 26% ยังคงขยายตัวท่ามกลางอัตราภาษีต่างตอบแทน 19% ของสหรัฐฯ ซึ่งไทยยังมีโอกาสแข่งขันด้านราคา
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นกฎเกณฑ์การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้า (Local Content) ที่ต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกของไทยที่อาจเกิดขึ้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างมาตรฐานและภาพลักษณ์สินค้าไทยด้วยการวิจัยและพัฒนา เพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ สร้างสรรอาหารสัตว์เลี้ยงรูปแบบใหม่ ๆ ที่เสริมสร้างสุขภาพและให้คุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย เพื่อสามารถเข้าถึงตลาดตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มแต่ละประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของการส่งออกอาหารสุนัขและแมวของโลกได้ในไม่ช้า
อ่านข่าว:
"ข้าวไทย" หืดจับ พณ.-เอกชน กระชับส่วนแบ่ง "ตลาดข้าว"ส่งออก
ฟื้น "คนละครึ่ง" รัฐบาลอนุทิน กระตุ้น (คะแนนเสียง) เศรษฐกิจสีเงิน
“เนื้อโคขุน” สุรินทร์ ของดีเมืองไทย รสชาตินุ่ม อร่อยลิ้น ไร้กลิ่นสาบ