ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ฟื้น "คนละครึ่ง" รัฐบาลอนุทิน กระตุ้น(คะแนนเสียง)เศรษฐกิจสีเงิน

เศรษฐกิจ
11:50
579
ฟื้น "คนละครึ่ง" รัฐบาลอนุทิน กระตุ้น(คะแนนเสียง)เศรษฐกิจสีเงิน

"คนละครึ่ง" รีเทริ์นอีกรอบต.ค.นี้ ตามเสียงเรียกร้องประชาชน พ่อค้า-แม่ขาย รัฐบาล “อนุทิน 1” เด้งรับทันควัน โครงการสุดฮอทยุครัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งขณะนั้นไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19  ถือเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ในภาวะเงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น

โครงการ “คนละครึ่ง” จึงเป็นการตอบโจทย์ที่ตรงจุดที่สุดในเวลานี้ อย่างน้อยช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและช่วยเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มหาบเร่ แผงลอย และร้านค้าขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ

โดยในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถึง 5 เฟส ตั้งแต่ปี 2563 - 2565 ใช้งบกว่า 2.3 แสนล้านบาท แม้ว่าจะใช้เงินกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ประชาชนมองว่าคุ้มค่า รัฐบาลออกครึ่งหนึ่ง ประชาชนออกครึ่งหนึ่ง การตัดสินใจใช้จ่ายง่ายขึ้น ทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจมหาศาล

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังและสำนักเศรษฐกิจการคลัง ระบุว่าตลอดโครงการคนละครึ่งทั้ง 5 เฟส มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวมกันกว่า 4.2 แสนล้านบาท

ล่าสุด รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ฟื้นโครงการคนละครึ่งกลับมาอีกครั้ง ในเวอร์ชั่น “ คนละครึ่ง 2.0” ให้ประชาชนซื้อขายแบบกระตือรือร้นมากขึ้นและไม่สนใจว่าจะถูกกล่าวหาว่าเลียนแบบนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ เพราะมองว่าประชาชนได้ปีระโยชน์และยังกระตุ้นเศรษฐกิจในท้ายปีได้อีกด้วย

มาแน่ คนละครึ่ง เวอร์ชั่น 2.0 คนไทยเตรียมกระเป๋าตังให้พร้อม

นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตซีอีโอกรุงไทย ว่าที่ รมช.คลังในรัฐบาลอนุทิน1 โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “คนละครึ่ง” อาจถึงเวลาที่ต้องกลับมาอีกครั้ง?แต่คราวนี้จะกลับมาในเวอร์ชั่น “ คนละครึ่ง 2.0” ให้ประชาชนซื้อขายแบบกระตือรือร้นมากขึ้น รายละเอียดของเวอร์ชั่นใหม่มีโอกาสแล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อไป

หลายคนยังจำได้โครงการ คนละครึ่ง ที่รัฐบาลเคยทำในช่วงวิกฤตโควิด เป็นหนึ่งในมาตรการที่ “ประชาชนรู้สึกได้จริง” ว่าช่วยลดภาระค่าครองชีพและยังทำให้ร้านค้าเล็ก ๆ ท้องถิ่นมีรายได้หมุนเวียนมากขึ้น หลักการก็ง่ายๆรัฐช่วยจ่าย 50% ประชาชนจ่ายอีก 50% ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ยังทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจทันที

ผลลัพธ์ในครั้งนั้นชัดเจนมาก ประชาชนกว่า 20–28 ล้านคนเข้าร่วม เงินสะพัดในระบบกว่า 2 แสนล้านบาท ร้านค้ารายย่อยและหาบเร่แผงลอยได้ลูกค้ากลับมา

นายวรภัคระบุด้วยว่าในวันนี้ค่าครองชีพยังสูง เศรษฐกิจฐานรากยังเหนื่อยการพิจารณานำ โครงการคนละครึ่ง กลับมาอาจเป็นอีกหนึ่งทางออกระยะสั้นที่จะช่วยทั้ง “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ขาย” ไปพร้อมกัน แน่นอนว่าไม่ใช่คำตอบถาวร แต่ในช่วงที่ประชาชนกำลังรับภาระหนัก การมีมาตรการที่ “สัมผัสได้จริง” อาจเป็นพลังใจและแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เศรษฐกิจเดินต่อ

นายแบงก์ ชี้คนละครึ่ง "รัฐสวัสดิการ" ตรงจุด-ยั่งยืน

ขณะที่ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับโครงการ “คนละครึ่ง”ว่าหลายคนอาจคิดว่า “คนละครึ่ง” คือโครงการแจกเงินช่วงโควิด แต่จริงๆ แล้ว มันคือก้าวแรกของความตั้งใจที่จะสร้าง ระบบสวัสดิการแห่งรัฐที่ตรงจุดและยั่งยืน เพราะโครงการเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตโควิด เนื่องจากรัฐบาลต้องหาทางช่วยทั้งประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและร้านค้าธุรกิจเล็ก ให้พอประคองตัวไปได้ แต่เจตนาที่แท้จริง ไม่ใช่การ “แจก” อย่างเดียว

• ประชาชน: ลดภาระค่าครองชีพ โดยออกแบบให้ไม่ใช่แค่รอรับเงิน แต่ต้องมีแรงจูงใจให้ออกมาทำงานและพัฒนาตัวเอง
• ร้านค้า: เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าระบบ ได้แต้มต่อในการแข่งขันกับธุรกิจใหญ่
• รัฐ: ดึงเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบและวางรากฐานภาษี

หลักคิดสำคัญ คือ “ประชาชนลดภาระ ร้านค้าเพิ่มรายได้” รวมทั้งเป็นการทดสอบว่าประเทศไทยจะก้าวไปสู่ รัฐสวัสดิการแบบยั่งยืน โปร่งใส โดยอาศัย เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนได้อย่างไร เพื่อให้การช่วยเหลือตรงจุด โครงการถูกออกแบบโดยมี 3 แกนหลักของแนวคิดคือฝั่งประชาชน ควรแบ่งประชาชนเป็น 3 กลุ่ม

1.กลุ่มรายได้น้อย  ได้สิทธิ์ในรูปแบบที่ช่วยลดต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน เช่น ช่วย ค่าเดินทางสาธารณะ ปัจจัยยังชีพ สำหรับคนเมือง หรือ แจก ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ให้กับเกษตรกร โดยไม่ต้องร่วมจ่าย (point system) 2.กลุ่มคนชั้นกลาง – ใช้ระบบ co-payment แต่ไม่ถึง 50:50 เช่น 30:70 สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น อาหารและยา และ3.กลุ่มผู้มีรายได้สูง จ่ายภาษี – ได้สิทธิ์คืนภาษีคล้าย “ชอปช่วยชาติ” (tax rebate) แต่เจาะจงให้นำสิทธิไปใช้กับสินค้าไทย หรือใช้กับธุรกิจ SME

ส่วนฝั่งร้านค้า นายปิติ กล่าวว่า โครงการตั้งใจสร้าง “แต้มต่อ” ให้กับร้านค้าขนาดกลาง ขนาดเล็กของไทย ไม่ใช่ช่วยรายใหญ่ จึงมีแนวคิดกำหนดเพดานสิทธิ์ และบังคับให้ร้านเข้าระบบ VAT และภาษี เพื่อดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบที่โปร่งใสและยั่งยืนให้คนได้ดี

ฝั่งงบประมาณ/แหล่งเงิน โดยเป้าหมายระยะยาว คือ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รัฐต้องสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น โดยเฉพาะการปฏิรูป VAT ให้เป็น multi-tier เหมือนหลายประเทศที่ใช้ เพื่อให้ระบบการคลังแข็งแรงขึ้น และให้โครงการสวัสดิการดำเนินต่อไปได้ โดยไม่กลายเป็นภาระการคลังในอนาคต แต่ด้วยข้อจำกัดช่วงโควิด ‘คนละครึ่ง’ ภาคหนึ่งจึงเป็นได้เพียงก้าวแรก ของความมุ่งหวังที่จะพัฒนาสู่ภาคสองที่สมบูรณ์ขึ้น ด้วยการต่อยอดสู่ Negative Income Tax, การปฏิรูปภาษี และระบบลงทะเบียนที่รอบด้าน รัดกุม ยิ่งขึ้น

ดังนั้นหากวันนี้รัฐบาลจะนำ “คนละครึ่ง” กลับมาอีกครั้ง จึงหวังว่า มันจะถูกขยับขึ้นเป็น ภาคต่อ ที่ไม่ใช่เพียงแค่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ,หนุน SME ให้เติบโตอย่างแข็งแรง ,ลดเศรษฐกิจนอกระบบ ดึงทุกคนเข้าสู่ระบบภาษีที่เป็นธรรม และสร้างสวัสดิการที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งภาระการคลังให้คนรุ่นหลัง 

เพราะ “คนละครึ่ง” ไม่ใช่โครงการประชานิยม แต่คือ ก้าวแรกสู่รัฐสวัสดิการของไทย ที่ทุกฝ่ายรัฐ เอกชน และประชาชนร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้น หมายเหตุ: โครงการ “คนละครึ่ง ภาคแรก” เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของหลายฝ่าย ทั้งรัฐบาล ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯ ธนาคารกรุงไทย ภาคธุรกิจ และประชาชน ที่เชื่อมั่นและร่วมลงมือสร้างโครงการนี้ให้สำเร็จ

ด้านนาย วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวกับ “ไทยพีบีเอสออนไลน์” ว่า เห็นด้วยกับการฟื้นโครงการคนละครึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาภาคเอกชนมีการเรียกร้องให้รัฐบาลนำโครงการคนละครึ่งกลับมาหรือมาตรการที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนให้เกิดการใช้จ่าย แม้ว่าจะเป็นการกระตุ้นในระยะสั้น แต่ถือว่าเป็นโครงการที่ดี แต่ทั้งนี้รัฐบาลควรมีมาตรการระยะกลางและระยาวรองรับเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

เป็นมาตรการที่ดีต่อประชาชนและร้านค้า เพราะเป็นมาตการที่เห็นผลเร็วและทุกคนมีโอกาสเข้าถึงเงินไม่ใช่อยู่ดีๆมีเงินเข้ากระเป๋า ซึ่งไม่เกิดการกระตุ้นอย่างแท้จริง และพ่อค้าแม่ค้ายังได้รับผลประโยชน์ เกิดการแข่งขันพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ ทำให้การค้าขายมีความคึกคักมากขึ้น

รองประธานหอการค้าไทย กล่าวอีกว่า อะไรดีก็ควรสานต่อทำให้ดี อะไรที่ค้างท่อก็ควรทำให้เสร็จเดินต่อให้สุด ซึ่งภาคเอกชนพร้อมที่จะจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

คลัง เผย ลงทะเบียนผ่าน “เป๋าตัง” แอปเดิม

สำหรับรายละเอียดของโครงการ "คนละครึ่ง" กระทรวงการคลังออกมายืนยันแล้วว่าระบบการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" มีความพร้อมสมบูรณ์และสามารถเริ่มโครงการได้ทันที หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณ โดยคาดว่าโครงการใหม่จะสามารถเริ่มต้นได้เร็วที่สุดภายในเดือนต.ค.นี้ ข้อมูลเบื้องต้น โครงการ "คนละครึ่ง" รอบใหม่นี้อาจมีเงื่อนไขที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง คือ สัดส่วนการร่วมจ่ายที่เปลี่ยนไป

โดยผู้เสียภาษีอาจได้รับสิทธิ์ในอัตรา 60:40 (รัฐช่วยจ่าย 60% ประชาชนจ่าย 40%) ขณะที่ประชาชนทั่วไปยังคงได้รับสิทธิ์ในอัตรา 50:50 โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นคือต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย หาบเร่แผงลอย ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากมาตรการนี้ แต่อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและเงื่อนไขที่แน่ชัดยังคงต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอีกครั้ง

อ่านข่าว:

 ผู้ค้า-เอกชนหนุนรับ "คนละครึ่ง" หวังกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 

"ข้าวไทย" หืดจับ พณ.-เอกชน กระชับส่วนแบ่ง "ตลาดข้าว"ส่งออก

“เนื้อโคขุน” สุรินทร์ ของดีเมืองไทย รสชาตินุ่ม อร่อยลิ้น ไร้กลิ่นสาบ