วันนี้ (19 ก.ย.2568) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวกรณีชาวกัมพูชายั่วยุและก่อความวุ่นวายบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ว่า กรณีชาวกัมพูชาประท้วงและรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทย ที่มีเป้าหมายเสริมความมั่นคงของฝ่ายไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไทยหลายมาตรา
นับตั้งแต่บรรลุข้อตกลงหยุด เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568 ที่มาเลเซีย ฝ่ายไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการโดยตลอดมา โดยเห็นว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการปูทางสู่สันติภาพ แต่พบว่าฝ่ายกัมพูชายังทำการยั่วยุในรูปแบบต่าง ๆ ขัดเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง
นายนิกรเดช กล่าวว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายที่บ้านหนองหญ้าแก้ว เป็นผลจากการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา เพราะการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคงดำเนินการในพื้นที่อธิปไตยไทย โดยเจ้าหน้าที่ได้อดกลั่นอย่างสูงสุดต่อการยั่วยุดังกล่าว และใช้เวลาทำความเข้าใจต่อชาวกัมพูชา แต่ไม่เป็นผล ทำให้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนของไทย จำเป็นต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล โดยใช้มาตรการที่ได้สัดส่วน เหมาะสม และเป็นไปตามหลักมนุษยชน ป้องกันสถานการณ์ยกระดับไปสู่ความรุนแรง
ทั้งนี้ การปลุกระดมยั่วยุให้ออกมาชุมนุมประท้วง และก่อความไม่สงบของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว เป็นการนำประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ และไม่ยึดถือผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ไทยและกัมพูชาได้ให้คำมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิง และพูดคุยเจรจา GBC 2 รอบ ซึ่งไทยมุุ่งแสวงหาสันติภาพ และการวางรั้วลวดหนามดังกล่าวเพื่อป้องกันการปะทะ และสร้างความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย
แต่ไทยผิดหวังที่กัมพูชาเลือกเส้นทางแห่งความขัดแย้ง และไม่ต้องการเห็นสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะการกระทำปลุกระดม การแถลงข่าวบิดเบือนความจริง และกรณีนายกฯ กัมพูชา มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้นำประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ สะท้อนว่าเตรียมการจัดฉากล่วงหน้า สร้างสถานการณ์เพื่อนำไปฟ้องประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาดำเนินการไม่สร้างสรรค์และขาดความสุจริตใจ
นอกจากนี้ ยังสวนทางจิตวิญญาณของข้อตกลงหยุดยิง ที่ย้ำเรื่องช่องทางหารือทวิภาคีทุกระดับ และเป็นสิ่งที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้ย้ำถึงความสำคัญของกลไกหารือทวิภาคีของสองประเทศ
นายนิกรเดช กล่าวว่า ในเรื่องการร้องเรียนไปยังประชมคมระหว่างประเทศ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โดยยึดหลักฐานเชิงประจักษ์และหลักสากล เช่น กรณีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติที่อ้างว่าไทยขับไล่ชุมชนชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่นั้น ไทยได้ชี้แจงว่าการบริหารพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ลี้ภัยของกัมพูชาในอดีต เป็นการดำเนินการที่ชอบธรรมและใช้หลักมนุษยธรรมร่วมกับองค์การสหประชาชาติมาโดยตลอด ซึ่งไทยและกัมพูชามีกลไกการหารือระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ป้องกันความเข้าใจผิด ยืนยันว่าไทยมุ่งมั่นแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี บนพื้นฐานของกฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการสากล โดยใช้กลไกทวีภาคี ทั้ง GBC JBC RBC ซึ่งไทยหวังว่าการประชุมตามกลไกทวิภาคี และเวทีการประชุมระหว่างประเทศ จะเป็นโอกาสพิสูจน์ความจริงใจของกัมพูชาในการแก้ปัญหา
ทั้งนี้ ไทยขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติพฤติกรรมตามเส้นทางของความขัดแย้ง รวมถึงการกระทำที่เป็นอุปสรรคต่อการลดความตึงเครียดและการหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
"ไทยจะไม่ยอมถูกกลั่นแกล้ง เมื่อมีสถานการณ์ที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง และกัมพูชามีหนังสือไปฟ้ององค์การระหว่างประเทศและผู้นำต่าง ๆ ไทยมีความจำเป็นต้องชี้แจงตามหลักข้อเท็จจริง โดยทำทุกช่องทางมาโดยตลอด ท่านทูตได้ทำหนังสือถึงเลขาฯ UN หลังกัมพูชาฟ้องในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีเขาติดต่อไปที่ประธานอาเซียนนั้น ท่านอนุทินได้คุยกับนายกฯ อันวาร์ และอธิบายข้อเท็จจริงไปเช่นกัน"
ขณะที่เมื่อวานนี้ (18 ก.ย.) กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชา แต่ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ ซึ่งฝ่ายนั้นยังใช้การตอบโต้ผ่านการแถลงข่าวที่เป็นเท็จ โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงท่าทีเร็ว ๆ นี้
อ่านข่าว : "ดุลยภาค" แนะบังคับใช้ กม.เข้มงวด แก้ปัญหา "กัมพูชา" รุกล้ำอธิปไตยไทย