ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปิดคดี “ทุจริตเงินทอนวัด” ฝากขังยาว “นพรัตน์” อดีตผอ.พศ.

อาชญากรรม
14:56
165
ปิดคดี “ทุจริตเงินทอนวัด” ฝากขังยาว “นพรัตน์” อดีตผอ.พศ.
อ่านให้ฟัง
13:34อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ในวัย 72 ปี ตัว “นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” อดีต ผอ.สำนักงานพระ พุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ผู้ต้องหา “คดีทุจริตเงินทอนวัด” ถูกส่ง ตัว “ผู้ร้ายข้ามแดน” จากเท็กซัสตะวันออก สหรัฐฯ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย หลังป.ป.ช.ชี้มูลความผิดร่ำรวยผิดปกติ เบียดบังทรัพย์วัดพนัญเชิงวรวิหาร และวัดในจังหวัดชายแดนใต้ 65 แห่ง

โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ( 29 ก.ย.2568 ) อัยการและป.ป.ช.ภาค 7 ได้นำตัว นายนพรัตน์ส่งศาลฯเพื่อฝากขัง และคัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้ง 2 คดีต่อศาลอาญาทุจริตทั้ง 2 คดี

นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ผู้ต้องหา ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายศาล 2 คดี คือ ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น

และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 147, 151 และ 157 ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ที่ จ.72/2566 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 (คดีวัดพนัญเชิงวรวิหาร) เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 162/2568 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7

ในส่วนของการกระทำความผิดตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ที่ จ.24/2566 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2566 (วัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 65 วัด) เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับคดีหมายเลขดำที่ อท 110 /2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท 76/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 133/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท 125/2567 ของศาลนี้

โดยศาลมีคำพิพากษาในทั้งสองคดีดังกล่าวแล้ว แต่มีรายละเอียดและเอกสารพยานหลักฐานจำนวนมาก ต้องใช้เวลาตรวจสอบและเรียบเรียงฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงว่า ความผิดฐานใดที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาขาดอายุความหรือไม่ เป็นรายกรรมไป หากมีความผิดฐานใดที่ขาดอายุความหรือมีข้อเท็จจริงใดเปลี่ยน แปลงไปจากเดิม ก็จะต้องเสนอสำนวนตามลำดับชั้นถึงอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาอีกครั้งก่อนยื่นฟ้องคดี

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ถูกกล่าวหา (ครั้งที่ 1) กำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย-10 ต.ค. 2568 แต่เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงและจำนวนเงินที่ผู้ถูกกล่าวหากับพวกร่วมกันเบียดบังเงินของรัฐไปเป็นของตนจำนวนมาก และมีพฤติการณ์หลบหนี จึงได้คัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ไว้แล้วทั้งสองคดี

หากพลิกแฟ้มคดีทุจริตเงินทอนวัด พบว่า เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 เนื่องจากมีวัดแห่งหนึ่งร้องเรียนมายัง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประ พฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เนื่องจากพบความผิดปกติของการจัดสรรเงินงบ ประมาณเพื่ออุดหนุนในการสร้างโบสถ์จำนวน 10 ล้านบาท แต่วัดกลับได้รับเงินจากสำนักงานพระพุทธศาสนา (พ.ศ) จริงเพียง 1 ล้านบาท

นำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่า ขบวนการทุจริตเงินทอนวัดเกิดขึ้นก่อนปี 2558 โดยพฤติการณ์แห่งคดี คือ มีเจ้าหน้าที่สำนักงาน พศ.เข้าไปติดต่อเจ้าอาวาสวัด ในแต่ละจังหวัดเพื่อเสนอเงินอุดหนุนให้แก่วัด โดยมีเงื่อนไขว่าทางเจ้าอาวาสวัดจะต้อง เขียนโครงการเข้ามาเพื่อเสนอของบประมาณกับสำนักงานพศ.พิจารณาอนุมัติ

โดยผู้ที่ร่วมกระทำความผิดได้ใช้หลายวิธีการเพื่อเบียดบัง นำทรัพย์สินและงบประมาณที่ต้องใช้ ผ่านรูปแบบเงินอุดหนุนที่พ.ศ.ให้การสนับสนุนพัฒนา เพื่อวัดทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ใช้ในการบูรณซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์วัด และใช้ในกิจกรรมเผยแพร่ศาสนา รวมทั้งการศึกษาพระปริยัติธรรมจำนวน 65 แห่ง รวมถึงวัดวัดพนัญเชิงวรวิหา

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมทางการเงินย้อนหลังของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และส่งสำนวนให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด“นพรัตน์” อดีตผอ.พ.ศ. พบว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี 2563 โดย “สุภา ปิยะจิตติ” กรรมการป.ป.ช. ในขณะนั้น เป็นประธานการไต่สวน

ผลการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่ “นพรัตน์” ดำรงตำแหน่งผ.อ.พ.ศ ระหว่าง วันที่ 1 ต.ค.2553 - 30 ก.ย. 2557 พบเงินฝากและทรัพย์สินต่าง ๆ ของเขา นางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ (คู่สมรส) และบุคคลใกล้ชิด คือ นางธาริณี ดิตถ์วัชรไพศาล (อดีตคู่สมรส) บุตรหลาน และบุคคลอื่นโดยคณะกรรมการไต่สวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลทั้ง 8 คน ชี้แจงที่มาของทรัพย์สินแล้ว แต่ไม่สามารถพิสูจน์ที่มาของทรัพย์สินได้ จำนวน 8 รายการประกอบด้วย
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ จำนวน 98,659,925.59 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 13 บัญชี เป็นเงิน 71,974,350.59 บาท, เงินลงทุน จำนวน 4 รายการ เป็นเงิน 12,580,000 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 12 กรมธรรม์ มูลค่า 14,105,575 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ (คู่สมรส) จำนวน 196,039,741.59 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 22 บัญชี เป็นเงิน 122,921,190.40 บาท, เงินลงทุน จำนวน 3 รายการ เป็นเงิน 6,815,695.39 บาท, ที่ดินในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 1 แปลง มูลค่า 760,000 บาท, ยานพาหนะ จำนวน 1 คัน มูลค่า 3,809,000 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 10 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 61,733,855.80 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางธาริณี ดิตถ์วัชรไพศาล (อดีตคู่สมรส) จำนวน 131,437,217.45 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 56 บัญชี เป็นเงิน 105,151,313.88 บาท, เงินลงทุน จำนวน 25 รายการ เป็นเงิน 25,235,903.57 บาท และยานพาหนะ จำนวน 1 คัน มูลค่า 1,050,000 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายธนรัตน์ ดิตถ์วัชรไพศาล (บุตร) จำนวน 26,726,284.56 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 10 บัญชี เป็นเงิน 20,843,037.56 บาท, ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในจังหวัดสมุทรปราการ 1 รายการ มูลค่า 1,800,000 บาท, ยานพาหนะ จำนวน 1 คัน มูลค่า 1,014,000 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต 4 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 3,069,247 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางสาวพิมพ์ภัสสร ดิตถ์วัชรไพศาล (บุตร) จำนวน 68,307,397.14 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 31 บัญชี เป็นเงิน 50,597,774.14 บาท, เงินลงทุน จำนวน 19 รายการ เป็นเงิน 9,750,000 บาท, ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวม 3 รายการ (ในกรุงเทพมหานคร 2 รายการ และจังหวัดสมุทรปราการ 1 รายการ) รวมมูลค่า 5,856,489 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต 3 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 2,103,134 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางสาววรัทยา พรหมมาศ (หลานของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 500,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด จำนวน 1 ห้อง ในจังหวัดชลบุรี มูลค่า 500,000 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายปิยชาติ ศรีจันทร์ (บุคคลสนิทของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 4,500,000 บาท ได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1 รายการ ในกรุงเทพมหานคร มูลค่า 4,500,000 บาท
  • ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางสาวณัฎฐาภรณ์ ทุน (บุตรของนางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 49,000,000 บาท ได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1 รายการ ในกรุงเทพมหานคร มูลค่า 49,000,000 บาท
รวมทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 575, 170, 566. 33 บาท นอกจากนี้ คณะ กรรมการ ป.ป.ช. ยังมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้เป็นการชั่วคราวแล้วจำนวน 176,032,978.79 บาท

หลังคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ทางอัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องนายนพรัตน์และพวก ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหาบางส่วนขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลแล้ว

ส่วนนายนพรัตน์ ได้หลบหนีก่อน ถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ไปอาศัยอยู่เท็กซัสตะวันออก สหรัฐอเมริกา นานเกือบ 10 ปี แต่ทางสำนักงานอัยการสูงสุด ป.ป.ช.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานกับทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เจ้าหน้าที่ US Marshals ส่งและรับตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในไทยเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา

คดีนี้คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลอา ญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาคดี ให้มีคำพิพากษาเพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าว ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 122แห่งพ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์คดีทุจริตเงินทอนวัด หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีคดีไปนานเกือบ 10 ปี...ไม่ว่าจะอย่างไร กฎหมายและกฎแห่งกรรม ยุติธรรมเสมอ

อ่านข่าว

สกัด “กัมพูชา” ภัยคุกคาม ปิดด่านยาว ฉีกเป๋าตังค์ “ฮุน เซน”

ย้อนรอย 8 เหตุการณ์ช็อก ถนนทรุดตัว “พิบัติภัยใกล้ตัว” คนเมือง