ในวัย 72 ปี ตัว “นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” อดีต ผอ.สำนักงานพระ พุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ผู้ต้องหา “คดีทุจริตเงินทอนวัด” ถูกส่ง ตัว “ผู้ร้ายข้ามแดน” จากเท็กซัสตะวันออก สหรัฐฯ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย หลังป.ป.ช.ชี้มูลความผิดร่ำรวยผิดปกติ เบียดบังทรัพย์วัดพนัญเชิงวรวิหาร และวัดในจังหวัดชายแดนใต้ 65 แห่ง
โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ( 29 ก.ย.2568 ) อัยการและป.ป.ช.ภาค 7 ได้นำตัว นายนพรัตน์ส่งศาลฯเพื่อฝากขัง และคัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้ง 2 คดีต่อศาลอาญาทุจริตทั้ง 2 คดี
นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ผู้ต้องหา ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายศาล 2 คดี คือ ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น
และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 147, 151 และ 157 ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ที่ จ.72/2566 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 (คดีวัดพนัญเชิงวรวิหาร) เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 162/2568 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7
ในส่วนของการกระทำความผิดตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ที่ จ.24/2566 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2566 (วัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 65 วัด) เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับคดีหมายเลขดำที่ อท 110 /2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท 76/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 133/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท 125/2567 ของศาลนี้

โดยศาลมีคำพิพากษาในทั้งสองคดีดังกล่าวแล้ว แต่มีรายละเอียดและเอกสารพยานหลักฐานจำนวนมาก ต้องใช้เวลาตรวจสอบและเรียบเรียงฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงว่า ความผิดฐานใดที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาขาดอายุความหรือไม่ เป็นรายกรรมไป หากมีความผิดฐานใดที่ขาดอายุความหรือมีข้อเท็จจริงใดเปลี่ยน แปลงไปจากเดิม ก็จะต้องเสนอสำนวนตามลำดับชั้นถึงอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาอีกครั้งก่อนยื่นฟ้องคดี
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ถูกกล่าวหา (ครั้งที่ 1) กำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย-10 ต.ค. 2568 แต่เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงและจำนวนเงินที่ผู้ถูกกล่าวหากับพวกร่วมกันเบียดบังเงินของรัฐไปเป็นของตนจำนวนมาก และมีพฤติการณ์หลบหนี จึงได้คัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ไว้แล้วทั้งสองคดี
หากพลิกแฟ้มคดีทุจริตเงินทอนวัด พบว่า เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 เนื่องจากมีวัดแห่งหนึ่งร้องเรียนมายัง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประ พฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เนื่องจากพบความผิดปกติของการจัดสรรเงินงบ ประมาณเพื่ออุดหนุนในการสร้างโบสถ์จำนวน 10 ล้านบาท แต่วัดกลับได้รับเงินจากสำนักงานพระพุทธศาสนา (พ.ศ) จริงเพียง 1 ล้านบาท

นำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่า ขบวนการทุจริตเงินทอนวัดเกิดขึ้นก่อนปี 2558 โดยพฤติการณ์แห่งคดี คือ มีเจ้าหน้าที่สำนักงาน พศ.เข้าไปติดต่อเจ้าอาวาสวัด ในแต่ละจังหวัดเพื่อเสนอเงินอุดหนุนให้แก่วัด โดยมีเงื่อนไขว่าทางเจ้าอาวาสวัดจะต้อง เขียนโครงการเข้ามาเพื่อเสนอของบประมาณกับสำนักงานพศ.พิจารณาอนุมัติ
โดยผู้ที่ร่วมกระทำความผิดได้ใช้หลายวิธีการเพื่อเบียดบัง นำทรัพย์สินและงบประมาณที่ต้องใช้ ผ่านรูปแบบเงินอุดหนุนที่พ.ศ.ให้การสนับสนุนพัฒนา เพื่อวัดทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ใช้ในการบูรณซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์วัด และใช้ในกิจกรรมเผยแพร่ศาสนา รวมทั้งการศึกษาพระปริยัติธรรมจำนวน 65 แห่ง รวมถึงวัดวัดพนัญเชิงวรวิหาร
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมทางการเงินย้อนหลังของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และส่งสำนวนให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด“นพรัตน์” อดีตผอ.พ.ศ. พบว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี 2563 โดย “สุภา ปิยะจิตติ” กรรมการป.ป.ช. ในขณะนั้น เป็นประธานการไต่สวน
ผลการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่ “นพรัตน์” ดำรงตำแหน่งผ.อ.พ.ศ ระหว่าง วันที่ 1 ต.ค.2553 - 30 ก.ย. 2557 พบเงินฝากและทรัพย์สินต่าง ๆ ของเขา นางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ (คู่สมรส) และบุคคลใกล้ชิด คือ นางธาริณี ดิตถ์วัชรไพศาล (อดีตคู่สมรส) บุตรหลาน และบุคคลอื่นโดยคณะกรรมการไต่สวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลทั้ง 8 คน ชี้แจงที่มาของทรัพย์สินแล้ว แต่ไม่สามารถพิสูจน์ที่มาของทรัพย์สินได้ จำนวน 8 รายการประกอบด้วย
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ จำนวน 98,659,925.59 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 13 บัญชี เป็นเงิน 71,974,350.59 บาท, เงินลงทุน จำนวน 4 รายการ เป็นเงิน 12,580,000 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 12 กรมธรรม์ มูลค่า 14,105,575 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ (คู่สมรส) จำนวน 196,039,741.59 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 22 บัญชี เป็นเงิน 122,921,190.40 บาท, เงินลงทุน จำนวน 3 รายการ เป็นเงิน 6,815,695.39 บาท, ที่ดินในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 1 แปลง มูลค่า 760,000 บาท, ยานพาหนะ จำนวน 1 คัน มูลค่า 3,809,000 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 10 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 61,733,855.80 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางธาริณี ดิตถ์วัชรไพศาล (อดีตคู่สมรส) จำนวน 131,437,217.45 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 56 บัญชี เป็นเงิน 105,151,313.88 บาท, เงินลงทุน จำนวน 25 รายการ เป็นเงิน 25,235,903.57 บาท และยานพาหนะ จำนวน 1 คัน มูลค่า 1,050,000 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายธนรัตน์ ดิตถ์วัชรไพศาล (บุตร) จำนวน 26,726,284.56 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 10 บัญชี เป็นเงิน 20,843,037.56 บาท, ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในจังหวัดสมุทรปราการ 1 รายการ มูลค่า 1,800,000 บาท, ยานพาหนะ จำนวน 1 คัน มูลค่า 1,014,000 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต 4 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 3,069,247 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางสาวพิมพ์ภัสสร ดิตถ์วัชรไพศาล (บุตร) จำนวน 68,307,397.14 บาท ได้แก่ เงินฝาก จำนวน 31 บัญชี เป็นเงิน 50,597,774.14 บาท, เงินลงทุน จำนวน 19 รายการ เป็นเงิน 9,750,000 บาท, ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวม 3 รายการ (ในกรุงเทพมหานคร 2 รายการ และจังหวัดสมุทรปราการ 1 รายการ) รวมมูลค่า 5,856,489 บาท และกรมธรรม์ประกันชีวิต 3 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 2,103,134 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางสาววรัทยา พรหมมาศ (หลานของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 500,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด จำนวน 1 ห้อง ในจังหวัดชลบุรี มูลค่า 500,000 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายปิยชาติ ศรีจันทร์ (บุคคลสนิทของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 4,500,000 บาท ได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1 รายการ ในกรุงเทพมหานคร มูลค่า 4,500,000 บาท
- ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางสาวณัฎฐาภรณ์ ทุน (บุตรของนางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์) จำนวน 49,000,000 บาท ได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1 รายการ ในกรุงเทพมหานคร มูลค่า 49,000,000 บาท
รวมทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 575, 170, 566. 33 บาท นอกจากนี้ คณะ กรรมการ ป.ป.ช. ยังมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้เป็นการชั่วคราวแล้วจำนวน 176,032,978.79 บาท

หลังคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ทางอัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องนายนพรัตน์และพวก ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหาบางส่วนขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลแล้ว
ส่วนนายนพรัตน์ ได้หลบหนีก่อน ถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ไปอาศัยอยู่เท็กซัสตะวันออก สหรัฐอเมริกา นานเกือบ 10 ปี แต่ทางสำนักงานอัยการสูงสุด ป.ป.ช.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานกับทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เจ้าหน้าที่ US Marshals ส่งและรับตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในไทยเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา
คดีนี้คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลอา ญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาคดี ให้มีคำพิพากษาเพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าว ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 122แห่งพ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์คดีทุจริตเงินทอนวัด หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีคดีไปนานเกือบ 10 ปี...ไม่ว่าจะอย่างไร กฎหมายและกฎแห่งกรรม ยุติธรรมเสมอ
อ่านข่าว
สกัด “กัมพูชา” ภัยคุกคาม ปิดด่านยาว ฉีกเป๋าตังค์ “ฮุน เซน”
ย้อนรอย 8 เหตุการณ์ช็อก ถนนทรุดตัว “พิบัติภัยใกล้ตัว” คนเมือง