วันนี้ (8 ต.ค.2568) คลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์ม TikTok ที่โชว์ภาพชายร่างเล็กกำลังแบกลูกช้างเอเชีย ไว้บนหลัง ขณะยืนรอสัญญาณไฟจราจรบนถนนย่านใจกลางกรุงเทพฯ ท่ามกลางรถยนต์และผู้คนพลุกพล่าน กลายเป็นกระแสไวรัลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมียอดวิวทะลุหลักล้านครั้ง และถูกแชร์ต่อบนเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็ว
คลิปดังกล่าวมาพร้อมแคปชั่นภาษาไทยที่ดูเหมือนจริง เช่น "ลูกช้างหลงทาง" "พี่ช่วยแบกข้ามถนน" "คนแบกช้าง" สร้างความฮือฮาและเสียงหัวเราะจากผู้ชมจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็จุดประกายข้อถกเถียงรุนแรงระหว่างผู้ที่เชื่อว่าเป็นเหตุการณ์จริง กับผู้ที่สงสัยว่าเป็นภาพปลอมจากปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ต้นกำเนิดของคลิปยังคงเป็นปริศนา แม้จะมีผู้พยายามสืบค้น แต่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาที่แน่นอนได้ บัญชี TikTok ที่อัปโหลดดูเหมือนเป็นเพจบันเทิงทั่วไปที่มุ่งเน้นเนื้อหาตลกขบขันและเรียกยอด Engagement โดยคลิปนี้ถูกแชร์ต่อในกลุ่มเฟซบุ๊กต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ โดยฝั่งคนที่เชื่อ ชี้ว่าภาพดูสมจริงและสะท้อนวัฒนธรรมไทยที่รักสัตว์ ขณะที่กลุ่มคนฝั่งไม่เชื่อ จะบอกถึงความผิดปกติ เช่น สัดส่วนร่างกายที่ไม่สมส่วน พื้นหลังที่ดูเบลอผิดธรรมชาติ
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก Amorn Chomchoey พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้โพสต์ชี้แจงอย่างละเอียดถึงคลิปไวรัลดังกล่าวว่า คลิปนี้ถูกสร้างขึ้นโดย AI อย่างชัดเจน ด้วยเหตุผลทางฟิสิกส์และชีววิทยาที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง โดยเฉพาะน้ำหนักของลูกช้างเอเชียที่ปรากฏในคลิป ซึ่งดูมีขนาดเท่าลูกช้างอายุประมาณ 6 เดือน
ข้อมูลจาก SeaWorld ระบุว่าลูกช้างแรกเกิดมีน้ำหนักเฉลี่ย 120 กิโลกรัม สอดคล้องกับลูกช้างป่า "ข้าวต้ม" ที่พบว่าหนัก 116 กิโลกรัม ในวันที่ถูกส่งตาเข้ารับการรักษา ส่วนข้อมูลจาก Oregon Zoo ยืนยันว่าลูกช้างเอเชียวัย 6 เดือนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า หรือราว 295 กิโลกรัม
ส่วนผู้ชายในคลิปซึ่งมีรูปร่างผอมบาง ไม่มีทางแบกน้ำหนักขนาดนั้นได้ในท่าทางตั้งตรงและเป็นธรรมชาติ โดยไม่ล้มครืนตามกฎแรงโน้มถ่วง นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยการรวมภาพที่ไม่เนียนบริเวณจุดเชื่อมระหว่างตัวช้างกับหลังคน รวมถึงข้อความภาษาไทยในคลิปที่สะกดผิด ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของเนื้อหา AI ที่สร้างเพื่อความบันเทิง
พล.อ.ต.อมร ยังให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวไทยในยุคที่ AI อย่าง Veo หรือ Sora สามารถสร้างวิดีโอสมจริงได้ง่าย โดยยึดหลัก 3 ข้อหลัก ได้แก่
- Sense Check หยุดตรวจสอบความสมเหตุสมผลทางฟิสิกส์และตรรกะ เช่น ถามตัวเองว่าการแบกลูกช้างหนักหลายร้อยกิโลกรัมบนถนนสาธารณะเป็นไปได้จริงหรือไม่ และตรวจแหล่งที่มาของบัญชีโพสต์ว่ามีประวัติผลิตเนื้อหาตลกหรือไม่
- Tool Check ใช้เครื่องมือค้นหาย้อนกลับภาพ (Reverse Image Search) บน Google Image หรือ TinEye เพื่อหาต้นตอ และซูมดูรายละเอียดพิกเซลเพื่อหาจุดผิดปกติ เช่น รอยต่อหรือเบลอที่ AI ยังทำได้ไม่สมบูรณ์
- Responsibility Check พิจารณาผลกระทบก่อนแชร์ หากเป็นเนื้อหาตลกชัดเจนอาจไม่เป็นไร แต่ถ้าดูจริงและอาจก่อความเข้าใจผิด เช่น สร้างข่าวลองหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือขัดศีลธรรม
บทเรียน "เช็กก่อนแชร์"
กระแสคลิปนี้ยังชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวลในวงการเนื้อหาออนไลน์ มีผู้แสดงความคิดเห็นหลายคนกล่าวว่า หลังจากนี้ อาจมีคลิปที่เลียนแบบลักษณะคนแบกสัตว์ขึ้นอีก แต่เปลี่ยนจากช้างเป็นสัตว์ตัวเล็กกว่า เช่น ลิง หมา แมว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาเรื่องฟิสิกส์ แต่ยังคงมุ่งหวังให้คนเชื่อ หวังยอดวิว ยอดไลก์ และ การเข้าถึงเพจของตัวเอง
ในขณะที่โดยผู้สร้างส่วนใหญ่อาจไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว เช่น การแพร่กระจายข่าวปลอมที่นำไปสู่ความสับสนในสังคม หรือแม้กระทั่งการลดความเชื่อมั่นในสื่อจริง
แต่ถ้ามองในมุมของนักพัฒนา AI การสร้างผลงานที่หลอกตาให้คนเชื่อถือได้ ถือเป็นความสำเร็จทางเทคนิค แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักให้มาก เพราะมนุษย์สามารถกำกับ AI ได้ หากยึดพื้นฐานที่ไม่เดือดร้อนผู้อื่น เช่น ใส่ watermark หรือ disclaimer ชัดเจน
แต่ถ้า "จุดไฟ" เพื่อต้องการแสงสว่างเพียงชั่วคราว
ก็อาจกลายเป็น "ไฟลามทุ่ง" ที่ควบคุมไม่ได้
สร้างความเสียหายต่อสังคมดิจิทัลทั้งหมด
อ่านข่าวอื่น :
ทรัมป์บุกอาเซียน! ขอเป็น ปธ.สันติภาพไทย-กัมพูชา ลุ้น "โนเบล"