สัดส่วนที่ประเทศไทย พึ่งพาการนำเข้ายาต่างประเทศ ปัจจุบันตัวเลขอยู่ที่ 60-70 % โดยเฉพาะ "ยาต้นแบบ"ภายใต้การคุ้มครองสิทธิบัตร ทำให้ยามีราคาแพง และด้วยการแข่งขันในตลาดมีข้อจำกัด การส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ให้เข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรยาที่หมดอายุหรือใกล้หมดอายุ คือ กลยุทธ์สำคัญเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถลดต้นทุนการนำเข้ายานอกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2564 กรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดโอกาสนักวิจัยและผู้ประกอบการไทยเข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรยาหมดอายุ หรือใกล้หมดอายุ เพื่อส่งเสริมการผลิตยาสามัญภายในประเทศ หรือต่อยอดพัฒนายาสูตรใหม่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พบว่า มีการสืบค้นข้อมูลเกือบ 30,000 ครั้ง เป็นข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมยากว่า 2,800 ครั้ง และมีสิทธิบัตรยาที่หมดและใกล้หมดอายุการคุ้มครองในไทยอีก 5 ปีข้างหน้า มากกว่า 1,500 ฉบับ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า กรมฯ ได้เปิดให้บริการระบบแจ้งเตือนสิทธิบัตรที่หมดอายุและใกล้หมดอายุความคุ้มครอง (Patent Early Warning) เพื่อให้นักวิจัย นักประดิษฐ์ และผู้ประกอบการ สามารถนำข้อมูลไปเตรียมความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์ได้ทันทีเมื่อสิทธิบัตรซึ่งโดยทั่วไปมีอายุความคุ้มครอง 20 ปี หมดอายุลง โดยระบบให้บริการข้อมูลสิทธิบัตรที่หมดหรือใกล้หมดอายุ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
ให้ครอบคลุม 6 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องมือวัด อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ และ อุตสาหกรรมวัสดุ ซึ่งสถิติตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้เข้ามาสืบค้นดูข้อมูลดังกล่าว 29,589 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 15,061 ราย
โดยในส่วนของอุตสาหกรรมยา มีการเข้ามาดูข้อมูลสิทธิบัตรที่หมดหรือใกล้หมดอายุ 2,857 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,071 ราย โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มย่อย ได้แก่ ยาเคมี มีการสืบค้นข้อมูล 2,638 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,066 ราย ยาชีววัตถุ มีการสืบค้นข้อมูล 2,278 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,043 ราย ยาสมุนไพร มีการสืบค้นข้อมูล 2,136 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 999 ราย

ยามุ่งเป้า (ยาที่คณะกรรมการพัฒนายาแห่งชาติคัดเลือกให้อยู่ในบัญชียามุ่งเป้าของกระทรวงสาธารณสุข) มีการสืบค้นข้อมูล 2,482 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,054 ราย วัคซีน มีการสืบค้นข้อมูล 2,126 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 999 ราย (ชุดตรวจ/ชุดทดสอบ มีการสืบค้นข้อมูล 2,116 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 998 ราย
และ เวชภัณฑ์ มีการสืบค้นข้อมูล 2,171 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,003 ราย ทั้งนี้ จำนวนสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมยาที่หมดอายุและใกล้หมดอายุความคุ้มครองในไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า มีมากถึง 1,500 ฉบับ ประกอบด้วย ยาเคมี 1,014 ฉบับ ยาชีววัตถุ 208 ฉบับ ยาสมุนไพร 25 ฉบับ ยามุ่งเป้า 42 ฉบับ วัคซีน 35 ฉบับ ชุดตรวจ/ชุดทดสอบ 230 ฉบับ และเวชภัณฑ์ 25 ฉบับ
ใช้ระบบ Patent Early Warning ช่วยวางแผนผลิตยา
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ Patent Early Warning เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยผู้ประกอบการในการวางแผนผลิต “ยาสามัญ หรือยาที่หมดสิทธิบัตรแล้ว” (Generic Drugs) ซึ่งมีตัวยาหรือสูตรตำรับยาเหมือนกับ “ยาต้นแบบ” (Original Drugs) ได้อย่างรวดเร็ว และในราคาที่ถูกกว่า เพราะไม่ต้องลงทุนในการวิจัยหรือพัฒนา ขณะเดียวกันก็สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาผลิตสูตรยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงขึ้น

ระบบ Patent Early Warning
ระบบ Patent Early Warning
ซึ่งการใช้ข้อมูลสิทธิบัตรอย่างถูกต้องในการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทย เปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้ายา สู่ผู้ผลิต สร้างศักยภาพในการผลิตวัตถุดิบยา (Active Pharmaceutical Ingredients: API) ภายในประเทศ ลดการนำเข้าวัตถุดิบยาและการพึ่งพายา ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและทำให้ยามีราคาถูกลง ประชาชนสามารถเข้าถึงยาในราคาที่เหมาะสม
ซึ่งกรมฯ พร้อมรับฟังความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปพัฒนาระบบการเข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรหมดอายุหรือใกล้หมดอายุให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลเทรนด์สิทธิบัตรที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักย ภาพอุตสาหกรรมของไทยต่อไป
เผยไทย นำเข้ายาต้นแบบต่างประเทศสูง 70 %
มีรายงานระบุว่า ปัจจุบันไทยยังต้องพึ่งพายานำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65 – 70% โดยเฉพาะยาต้นแบบที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองสิทธิบัตร ส่งผลให้ยาดังกล่าวมีราคาสูงและมีการแข่งขันในตลาดจำกัด
ดังนั้น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรยาที่หมดอายุหรือใกล้หมดอายุ จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ไทยสามารถลดต้นทุนการนำเข้ายา แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา ผลักดันให้เกิดการคิดค้นยานวัตกรรมใหม่และพัฒนายาสามัญได้ทันท่วงที

ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานอุตสาหกรรมยาที่เข้มแข็งในระยะยาว ช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศสู่การพึ่งพาตนเองในด้านยา และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
หนุนผลิตยาคุณภาพ "เพิ่มทางเลือก-ลดต้นทุน" นำเข้า
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงงานเภสัช อุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลในด้านส่งเสริมการเข้าถึงยารักษาของประชาชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถนำใบสั่งแพทย์มาซื้อยาที่ร้านขายยา เพื่อช่วยลดการแออัดของผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ เป็นนโยบายที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในวงกว้าง ซึ่ง JSP พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP
หากนโยบายดังกล่าวสามารถดำเนินการอย่างบูรณาการ ครอบคลุมไปถึงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนายา รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงประชาชนมากขึ้นเชื่อว่าจะขยายผลความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ประเทศไทยมีโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต GMP มากกว่า 150 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีไม่ถึง 10% ที่สามารถผลิตวัตถุดิบตัวยาสำคัญได้เอง
ส่วนใหญ่นำเข้าตัวยาวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผสม ซึ่งเป็นลักษณะนี้เกือบ 90% สำหรับการวิจัยและพัฒนายาตัวใหม่เพื่อทดแทนการนำเข้ายังมีอยู่น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม นายสิทธิชัย มองว่าการจะส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงยาในประ เทศให้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญคือการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบตัวยาขึ้นมาเองเพื่อทดแทนการนำเข้าในส่วนของยาแผนปัจจุบัน ขณะเดียวกันในส่วนของยาสมุนไพรไทยนั้นเป็นทางเลือกที่ดีแต่มองว่ายังขาดการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงข้อบ่งใช้ที่ถูกต้องจึงทำให้ปัจจุบันประชาชนบางส่วนยังขาดความมั่นใจในการใช้เป็นยาทางเลือก

แนะแก้กม.ตู้ขายยาอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง ผ่านเทเลเมดิคอล
นายสิทธิชัย ระบุว่า การส่งเสริมยาที่ผลิตในประเทศ ด้วยการจับมือกับโรงพยา บาลเอกชน เพื่อให้คนป่วยสามารถนำใบสั่งยามาซื้อที่เภสัชกรนอกโรงพยา บาล เป็นเรื่องที่ดีกับบริษัท แต่ต้องไม่ได้หยุดนิ่ง ต้องทำการวิจัยและพัฒนาตลอดเวลา ซึ่งเป้าหมายหลักคือให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ผ่านการคิดสูตรยาใหม่เพื่อรักษาโรค รวมถึงอาหารเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ
นอกจากนี้การออกกฎหมายให้สามารถจำหน่ายยาหลากหลายประเภทผ่านตู้ขายยาอัตโนมัติ 24 ชม. จะช่วยเสริมนโยบายรัฐให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับคนไข้สามารถนำใบสั่งยามารับได้ที่ตู้ขายยาอัตโนมัติ ที่มีแพทย์ หรือ เภสัชกร ให้บริการทางออนไลน์หรือที่เรียกว่า เทเลฟาร์มาซี หรือ เทเลเมดิคอล
และหากมีการปรับแก้ไขกฎหมาย ให้ตู้ยาอัตโนมัติ สามารถมียาอัน ตรายที่ต้องจ่ายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้นด้วย เชื่อว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณะสุขได้อย่างมาก
อ่านข่าว:
“ทองคำ”สินทรัพย์อมตะแห่งยุค 4 ปัจจัยบวกดันทองพุ่ง
"อนุทิน" คิกออฟ 28 ต.ค.68 เพิ่มทางเลือกประชาชนซื้อยานอกรพ.เอกชน
ส่องตลาดบ้านหรู เป็นได้ทั้งพลุ-ระเบิดเวลา