ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ลุ้นสงครามการค้า 2 มหาอำนาจ คลี่คลายดันเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว

เศรษฐกิจ
16:47
79
ลุ้นสงครามการค้า 2 มหาอำนาจ คลี่คลายดันเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว
อ่านให้ฟัง
11:13อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ เผยสงครามการค้าสหรัฐ-จีนมีโอกาสคลี่คลาย จับตาเจรจา 30 ต.ค.นี้แนวโน้มออกมาราบรื่น ดันเศรษฐกิจโลกฟื้น ด้านไทยเร่งลงทุน 3 แสนล้าน ลุ้นแบงก์ชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีสู่ระดับ 1.25% ในเดือนธ.ค.นี้ หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว

วันนี้ ( 28 ต.ค.2568) ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะ Shutdown และความตึงเครียดทางการค้ากับจีน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ขยับขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.9% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2567 ที่ 3% ในเดือนก.ย. ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 53.6 ในเดือนตุลาคม

ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถูกปกคลุมจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานราชการ (government shutdown) ที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงความขัดแย้งทางการค้ากับจีนที่เพิ่มขึ้นหลังทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมและควบคุมการส่งออกซอฟแวร์เพื่อตอบโต้จีนที่ขยายมาตรการส่งออกแร่หายาก

อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาผลการประชุมนอกรอบระหว่างผู้นำของสหรัฐฯ และจีนที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 ต.ค.นี้ ว่าจะช่วยคลายความขัดแย้งทางการค้าได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สูงและเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้สู่ระดับ 3.50-3.75%

นายนันทพงศ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายนันทพงศ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายนันทพงศ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายนันทพงศ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกไปตลาดสหรัฐยังไปได้ดีในเดือน ก.ย. มีอัตราเติบโตถึง 35.3 % ต่อเนื่อง 24 เดือน จากความต้องการซื้อสินค้าในสหรัฐเพิ่มขึ้นจากนโยบายลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้กำลังซื้อในสหรัฐฟื้นกลับมา เนื่องจาก สหรัฐเป็นตลาดใหญ่ของการบริโภคในโลก จึงทำให้ การค้าโลกฟื้นตัวดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ขณะนี้ เป็น วัฎจักรขาขึ้นของสินค้ากลุ่มอิเลคทรอนิคส์ ซึ่ง รัฐบาลสหรัฐก็ เห็น ความสำคัญของสินค้ากลุ่มนี้ทำให้อัตราภาษีนำเข้าไม่ได้สูงมาก และ เด็กรุ่นใหม่มีความต้องการใช้มากขึ้นทั้งโทรศัพท์มือ และอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทย ในขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังตลาดสหรัฐมีน้อย เพราะ การส่งออกสินค้าเกษตรไทยตลาดหลักคือ จีน

ผลกระทบจาก Reciprocal tariff ต่อการส่งออกไทย มีไม่มาก และความชัดเจน เรื่องอัตราภาษีนำเข้าที่ 19 % ของไทยทำให้ผู้ประกอบการคลายความกังวล และอัตรานี้ ทำให้ไทยแข่งขันกับคู่แข่งในภูมิภาคนี้ได้

อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปตลาดสหรัฐเดือน ก.ย. มีอัตราเติบโต 35.3%มีมูลค่า 6,793 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเกินดุล5,228 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน 9 เดือนแรก มีมูลค่า52,176 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.6 % ไทยเกินดุลการค้า 36,443 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่การส่งออกไปจีน 2,952 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.2 % โดยไทยขาดดุล 6,479 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับ 9 เดือนแรก ไทยส่งออกไปจีนมีมูลค่า30,667 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.1 % ไทยขาดดุล 47,303 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์ยาง ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว28.6%

ในขณะที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่น ศูนย์วิจัยกรุงศรี มองว่านโยบายการคลังเชิงรุกของรัฐบาลทาคาอิจิคาดช่วยหนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นช่วงปลายปี การส่งออกของญี่ปุ่นพลิกฟื้นจากหดตัวในเดือนก่อนที่ -0.1% กลับมาขยายตัว 4.2% ในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (National CPI) ปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน อยู่ที่ 2.9% สอดคล้องกับตลาดคาดการณ์ ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตมีการหดตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนที่ 48.5 สู่ระดับ 48.3 ในเดือนต.ค.

แม้ว่าการบริโภคยังคงอ่อนแอจากแรงกดดันเงินเฟ้อสะท้อนจากยอดค้าปลีกที่หดตัวมากสุดในรอบ 4 ปี แต่เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่ที่ปรับตัวดีขึ้น ภาคธุรกิจยังคงขยายแผนการลงทุน รวมถึงการส่งออกที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน จากแรงหนุนของการอ่อนค่าของเงินเยนและการส่งออกไปเอเชียที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ให้คำมั่นว่าจะดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ แก้ปัญหาค่าครองชีพ และเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ที่เข้ามาช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงปลายปีนี้ จากความคาดหวังดังกล่าวอาจเพิ่มโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ในช่วงปลายปีนี้

เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่มีแรงส่งการเติบโตแผ่วลง โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญส่งสัญญาณชะลอตัว ทั้ง GDP ในไตรมาสที่ 3 (+4.8% จาก 5.2% ในไตรมาสที่ 2) ยอดค้าปลีกสินค้าในเดือนก.ย.น (+3% จาก +3.4% ในเดือนส.ค.) และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วง 9 เดือนแรก (หดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โควิดที่ -0.5%) สำหรับผลการประชุมล่าสุดของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่า จะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ การกระจายรายได้ การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว และ AI รวมถึงการพัฒนาตลาดแห่งชาติ (Unified National Market) ตลอดจนการแก้ไขปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง (Price involution) และปัญหาอุปทานส่วนเกิน

นอกจากนี้ จีนเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากภาษีสวมสิทธิ์ของสหรัฐฯ การควบคุมการส่งออกสินค้าสำคัญ และการขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือ ดังนั้น ความหวังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจึงขึ้นอยู่กับประสิทธิผลในการฟื้นการบริโภคภายในประเทศทั้งจากมาตรการอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่ประกอบกับมาตรการหนุนการบริโภคในภาคบริการ
เร่งลงทุน 3 แสนล้าน หนุนเศรษฐกิจฟื้น

ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ทำการวิเคราะห์เศรษฐกิจว่า รัฐบาลเตรียมผลักดันการลงทุนภาคเอกชนให้เกิดเร็วขึ้น มีหลายปัจจัยสะท้อนโอกาสการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นBOI ที่มีแผนเร่งรัดการลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาท เพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ เห็นชอบให้จัดตั้งระบบ “Thailand Fast Pass” เป็นกลไกเชิงรุกในการเร่งรัดและอำนวยความสะดวกต่อโครงการลงทุนสำคัญโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

การเร่งรัดการลงทุนของ BOI ผ่านกลไกดังกล่าว คาดว่าจะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในกระบวนการอนุมัติและขออนุญาตต่างๆ เพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน แก้ไขอุปสรรคทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ จุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนให้การลงทุนภาคเอกชนเติบโตและมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้มากขึ้น

ข้อมูลล่าสุดพบว่ามูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 139% YoY นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์สมัยใหม่ ส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ขอรับส่งเสริมลงทุนฯ มีมูลค่า 7.38 แสนล้านบาท ขยายตัว 132% นำโดยสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน

อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยกรุงศรีคาดดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับลดลงสู่ระดับ 1.25% ภายในปลายปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ของปีนี้อาจหดตัว -0.5% หรือ +1.5% ก่อนจะกลับมาขยายตัว 0.5% หรือ +1.3% YoY ในไตรมาสสุดท้ายของปี ส่งผลให้ GDP ทั้งปี 2568 เติบโต 2.2% และคาดว่าจะชะลอลงเหลือ 1.6% ในปี 2569 จากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กดดันภาคการส่งออกมากขึ้น ซึ่งวิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีโอกาสที่ธปท.อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.25% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือนธันวาคมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและบรรเทาภาระทางการเงินของภาคเอกชน

อ่านข่าว:

จับตาเจรจาหยุดโลก “ทรัมป์ – สี จิ้นผิง” 30 ต.ค. ชี้ชะตาทิศทางสงครามการค้าโลก

“ไทย-สหรัฐฯ” แถลงการณ์ร่วม กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน ตั้งเป้าสรุปผลปลายปีนี้

เทศกาลเททอง ฉุดทองดิ่งรอบ 5 ปี เหตุดอลลาร์ "แข็ง"นักลงทุนหนีสินทรัพย์ปลอดภัย