วันนี้ (28 ต.ค.2568) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ฯ ทำเนียบรัฐบาล นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และคณะ ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ยกข้อเสนอ 10 ให้นายกรัฐมนตรีแก้ไขยกระดับการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมและสแกมเมอร์ข้ามชาติ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ขอเรียกร้องให้ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ ภายหลังจากมีรายชื่อรัฐมนตรีไทยบางส่วนถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายของขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ และต่อมานายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง ลาออก เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงาน ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ทั้งยังมีรายชื่อนักการเมืองและข้าราชการอื่นที่อาจพัวพันตามรายงานของผู้ช่วยรัฐมนตรีความมั่นคงฯ ของรัฐบาลจีน กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ที่ออกมาคว่ำบาตรทางการเงินและยึดทรัพย์สินจากธุรกิจสีเทา
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสมควรปรับ ครม.ที่มีรายชื่อด่างพร้อย ประวัติมีมลทินมัวหมอง ก่อนที่จะมีผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่มีข้อครหาไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงมาดำรงตำแหน่ง ทำให้ความผิดซ้ำรอยนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลมีอายุไม่ครบ 4เดือนได้
2.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นศูนย์การปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Scam) เชิงรุกที่เป็นระบบและทันสมัย ตามที่ประกาศวาระแห่งชาติที่จะขจัดปัญหาเร่งด่วน
โดยแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคมาสนับสนุน และประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการเข้าถึงเทคโนโลยีการสืบสวนทางเทคนิคพิเศษจากสหรัฐฯ และจีน ซึ่งมีข้อมูลเชื่อมโยงถึงผู้มีอำนาจทางการเมือง และข้าราชการหลายคน ที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำเงินสีเทาเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบุคคลทางการเมืองระดับสูงหรือทางธุรกิจ
ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และในรัฐบาลปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้องค์กรอิสระต่าง ๆ เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างอิสระเต็มที่และยึดทรัพย์ได้ทันที เพราะก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งรายงานลับกรณีเครือข่ายนักการเมืองไทย 7 คนที่มีส่วนพัวพันการฟอกเงินในประเทศกัมพูชาถึงมืออดีตนายกรัฐมนตรีตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้า และรัฐบาลควรดำเนินการประกาศขึ้นบัญชีดำกับกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติที่ถูกแบล็คลิสต์จากสหรัฐและอังกฤษ เช่นกัน
3.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อย่างสันติ ลดความเกลียดชังทางเชื้อชาติและสนับสนุนกิจกรรมสันติภาพริมชายแดน เพื่อเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าและการพึ่งพาในพื้นที่ชายแดน ซึ่งถ้าสามารถทำได้จะเป็นผลงานและหน้าตาของรัฐบาลใหม่เช่นเดียวกับสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่กลายเป็นผลงานสำคัญและส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ท่ามกลางความขัดแย้งที่ซับซ้อนในกัมพูชาที่เลือกสถาปนาระบอบรัฐซ้อนรัฐที่มีกลุ่มทุนธุรกิจสีเทาขยายอิทธิพลและผลประโยชน์ครอบงำรัฐและถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติในเวลานี้ รัฐบาลไทยจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับนานาชาติปราบปรามกลุ่มขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้อย่างจริงจังก่อน เพื่อกำจัดข้าราชการและนักการเมืองในรัฐบาลฉ้อฉลที่รับผลประโยชน์ ทั้งในรัฐบาลกัมพูชา พม่า และไทย
4.ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามการแทรกแซงจากต่างชาติ (Foreign Information Manipulation) แม้กระทั่งจากกัมพูชา ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เปิดโอกาสให้สายลับอิทธิพลของต่างชาติ ทำงานอย่างเป็นระบบด้วยการปล่อยข่าวปลอม (Fake News) ปั่นกระแสสร้างเรื่องราวให้เป็นในทิศทางที่ต้องการ
การแทรกแซงผ่านการใช้ Social Media เป็นเครื่องมือ ท่ามกลางความวุ่นวายของสถานการณ์และความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ลดน้อยลง ทำให้ไทยอยู่ในฐานะตั้งรับในเกมการเมืองระหว่างประเทศ รัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานด้านความมั่นคง กองทัพและหน่วยข่าวกรอง
ควรให้ความสำคัญกับสมรภูมิออนไลน์ การปฏิบัติการข่าวสารและภัยการแทรกแซงจากต่างชาติ ที่มีความรุนแรงมากกว่าการสู้รบด้วยกระสุนปืนเหมือนในอดีต เพราะสงครามยุคใหม่ไม่ได้มีแค่การรบกันด้วยอาวุธ แต่เป็นสงครามข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น รัฐบาลจะต้องตั้ง War Room เพื่อรับมือสงครามข่าวสารเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยให้ข่าวลือได้ทำงานดังที่พบว่า มีการโจมตีทางไซเบอร์จากผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจากกัมพูชามายังสื่อไทยจำนวนมากอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
รัฐบาลต้องระดมทีมประเทศไทย เข้ามาช่วยกันทั้งภาคเอกชน ภาควิชาการ และสื่อมวลชน เพราะประเทศไทยอาจจะต้องเจอกับสงครามผสมผสาน ต่อไปอีกระยะหนึ่ง รวมถึงการประสานความร่วมมือกับนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อยืนยันจุดยืนของประเทศไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ การโจมตีของกัมพูชาและการวางทุนระเบิดสังหารบุคคลเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและบูรณภาพแห่งดินแดนไทย การโจมตีพลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ถือเป็นความผิดอาชญากรรมสงคราม (War Crime) จะต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC.)
5.ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ในการผลักดันบทบาทไทยและอาเซียนเพื่อสร้างสรรค์สันติภาพในภูมิภาค และแก้ไขความขัดแย้งภายในพม่า ไทยและกัมพูชา อย่างสันติ โดยอาศัยความร่วมมือของมหาอำนาจในภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่ร่วมกัน และจัดวางความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างสมดุล ให้เกิดความร่วมมือแทนการแข่งขันกันมีอิทธิพลในอาเซียน ผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่ประเทศไทยสามารถเป็นเจ้าภาพได้
เช่น ความร่วมมือของอาเซียน สหรัฐและจีน ในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติและนักธุรกิจการเมืองสีเทา การมีมาตรการร่วมกันยุติสงครามภายในพม่า การสร้างความร่วมมือไทย-กัมพูชาในบริบทใหม่ การสร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีโดยไทยสามารถเป็นพื้นที่กลางในการใช้พบปะกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคิม จองอึน ต่อจากสิงคโปร์และเวียดนาม การลดการผลิตอาวุธและงบประมาณทางการทหารเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน และความร่วมมือในการสำรวจอวกาศโดยใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น การจัดตั้งองค์กการอวกาศอาเซียน โครงการฉางเอ๋อ 7 ของจีน และข้อตกลง Artemis Accords ของสหรัฐฯ
6.รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยมีพันธะสัญญาในการจัดให้มีการประชามติให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญและข้อเสนอของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของภาคประชาชนและเครือข่ายองค์กรประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางออกจากหล่มทางการเมืองและวิกฤตประชาธิปไตยของประเทศไทย ด้วยกติกาที่เป็นธรรมในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยและมาจากประชาชน
ดังนั้น การแก้ไขและร่างใหม่รัฐธรรมนูญจึงเป็นทางออกจากปัญหาที่ผ่านมา ที่พรรคการเมืองต่าง ๆ และรัฐสภาจะต้องร่วมมือกันผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้รัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยมกลายเป็นเครื่องมือฉุดรั้งสังคมไทยไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป ทั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยจะต้องประสานความร่วมมือกับวุฒิสภาเพื่อผ่านวาระร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ลุล่วงโดยเร็ว โดยไม่ใช้วุฒิสภาเป็นเครื่องมือสร้างอุปสรรค
7.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันการนิรโทษกรรมประชาชนในคดีการเมืองโดยเร็ว และมีนโยบายต่อกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ประกันตัวนักโทษทางความคิดและนักโทษทางการเมืองเพื่อต่อสู้คดีตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล โดยการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมที่ผ่านรัฐสภาแล้ว ให้ประสานความร่วมมือกับวุฒิสภาเพื่อเป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้กฎหมายนิรโทษกรรมในนาม ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ได้พิจารณาเสร็จสิ้นทันการประชุมในสมัยการประชุมหน้าในเดือนธันวาคม ๒๕๖๘ ก่อนการประกาศยุบสภา
8.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดไฟเขียวการตรวจสอบ “คดีฮั้ว สว.” ภายหลังการเลือกสมาชิกวุฒิสภาปี 2567 มีผู้ร้องคัดค้านจำนวนมากว่าไม่เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม ขัดต่อพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา และต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตั้งชุดสืบสวนไต่สวนชุดที่ 26 ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมดำเนินการสืบสวนไต่สวนจนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องได้ถึง 229 คน ประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน 138 คน และกรรมการบริหารพรรคการเมืองสมาชิกพรรคการเมืองและผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวน 91 คน
ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุวินิจฉัยชุดที่ 36 ซึ่งถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบการดำเนินการของ กกต. แต่ยังไม่ดำเนินการต่อให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี ตามระเบียบที่กำหนดซึ่งถือว่ามีความผิดตามกฎหมายหากไม่เร่งส่งผลการพิจารณาต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และขณะนี้วุฒิสภามีความเร่งรีบในการเห็นชอบการแต่งตั้งสมาชิกองค์กรอิสระต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กกต.ชุดใหม่ 4 คน ซึ่งจะเป็นผู้ทำหน้าที่สำคัญในการพิจารณาตัดสินในเรื่องคดีฮั้ว สว. จึงเข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อน และพรรคภูมิใจไทยในฐานะรัฐบาลก็ถูกกล่าวหาในคดีด้วย
จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ใช้อำนาจเข้าแทรกแซงคดีในองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นระบบการเมืองถ่วงดุลในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ กกต .ได้วินิจฉัยสำนวนคดีที่อยู่บนหลักการ ข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาต้องให้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม และเร่งส่งสำนวนคดีให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิจารณาโดยเร็ว
9.ขอให้นายกรัฐมนตรีจัดการแก้ไขปัญหากรณีประธาน กสทช. เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. ตามกฎหมาย เนื่องจากผลการวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา เสร็จสิ้นในวันที่ 28 พ.ค.2567 0นถึงปัจจุบันระยะเวลาล่วงเลยมา 1 ปีกว่าแล้ว แต่รัฐบาลที่ผ่านมาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
จึงเห็นควรขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีดำเนินการตาม เร่งตรวจสอบและดำเนินการกราบบังคมทูลผ่านสำนักงานองคมนตรีตามข้อกฎหมาย มาตรา 20 ตามอำนาจหน้าที่ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชน และก้าวล่วงพระราชอำนาจ โดยมีเจตนาแทรกแซงไม่ดำเนินการใดโดยการกล่าวอ้างว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ ทั้งที่ข้อเท็จจริงกฎหมายได้ชี้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าให้กราบบังคมทูลผ่านสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นพระราชวินิจฉัย จึงแจ้งมาเพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการดังกล่าวโดยพลัน ไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซ้ำรอย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
10.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาการผูกขาดเศรษฐกิจ ที่ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดตลาดและอุตสาหกรรมทางการเกษตรครบวงจร การผูกขาดคลื่นความถี่ โทรคมนาคม และการผูกขาดทางด้านพลังงาน โดยเฉพาะการให้สัญญาระยะยาวเอกชนในการรับซื้อไฟฟ้าโดยไปลดการผลิตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลง ซึ่งเป็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบายและทำลายระบบรัฐวิสาหกิจลงเพื่อให้นายทุนเอกชนเข้าแสวงหากำไร จนในที่สุดอาจเกิดภาวะกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าไปยึดรัฐ (State Capture) จนประเทศล้มเหลวและขาดเสถียรภาพในที่สุด
อ่านข่าว : "โรม" เชื่อตร.มีข้อมูลนักการเมืองเอี่ยวสแกมเมอร์ สงสัยทำไมนายกฯ ไม่จัดการ
กึ๊ดได้จะใด ? คนเชียงใหม่สวดยับเทศบาลเชียงใหม่ "ดอกไม้สีดำ-โคมกลับหัว"
"ลิงทดลอง" หลุดกรงจากเหตุรถบรรทุกขนส่งพลิกคว่ำในสหรัฐฯ











