ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เสียง "ทหาร" ในโซเชียล หลังถูกสั่ง “ถอนกำลัง” ออกจากชายแดน

การเมือง
15:40
118
เสียง "ทหาร" ในโซเชียล หลังถูกสั่ง “ถอนกำลัง” ออกจากชายแดน
หลังการลงนามของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา หรือ RBC ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา และกองทัพภาคที่ 2 ของไทย ที่โอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา

เกิดเสียงสะท้อนในโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียของ “ทหาร” ที่อยู่ตามแนวชายแดนกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ทหารชั้นผู้น้อย"

เพราะข้อตกลงในการประชุมบอกว่า จะถอนอาวุธหนัก 3 ประเภท ออกจากชายแดน ทั้งจรวด ปืนใหญ่ และรถถัง

ระยะที่ 1 ระบบจรวด (ประเภท A) : 1-21 พ.ย.2568
ระยะที่ 2 ปืนใหญ่ (ประเภท B) : 22 พ.ย.-12 ธ.ค.2568
ระยะที่ 3 รถถัง (ประเภท C) : 13-31 ธ.ค.2568
ภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT)

เสียงสะท้อนจากโซเชียลทหารแนวหน้า ที่เป็น "ทหารชั้นผู้น้อย" มีทั้งความสงสัย กังขา ไม่พอใจ และน้อยใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากที่พวกเขาต้องต่อสู้กับเขมรมานานกว่า 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.2568 ทหารต้องสูญเสียพี่เพื่อนน้องในสนามรบไปถึง 15 นาย ชาวบ้านตายไปหลายคน บ้านเรือนร้านค้า ทรัพย์สินเสียหายไปมากมาย เพื่อรักษาผืนแผ่นดินไทย (และถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้เยียวยา)

แต่สุดท้าย “ใคร” คือ คนสั่งให้หยุดยิง ใครคือคนกำหนดว่า ทหารจะต้องถอยกำลังและอาวุธออกจากชายแดน

“การรบที่ผ่านมาเหมือนสูญเปล่า ต่อไปในอนาคต ถ้าอยากได้ “ปราสาทตาควาย” คืน ก็ให้ไปรบแย่งคืนมาเอง”...สารพัดกับความคิดความเห็น

และคำถามว่า “เราจะเชื่อใจกัมพูชาได้มากขนาดไหน หรือเพราะผลประโยชน์ของใคร”

รายงานข่าวจากวงการทหารระบุว่า รัฐบาลกับทหารมองเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน รัฐบาลต้องการให้ความขัดแย้งสงบลง เพราะมีหลายอย่างที่การเมืองมองว่ามีผลประโยชน์ ขณะที่ทหารมองว่า เขมรเป็นภัยคุกคาม ต้องจัดการให้เด็ดขาด แม้วันนี้เราจะคุยสงบศึก แต่ในวันข้างหน้าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีก

ต้องเข้าใจว่า ตอนนี้เขมรเชี่ยวชาญในเวทีโลกมากกว่าไทย สองพ่อลูกฮุนเซน และฮุนมาเนต ชอบเดินสายร้องเรียน และขอความช่วยเหลือไปทั่วโลก แต่ทหารไทยมองว่า ทำไมรัฐบาลไม่จัดการเรื่องชายแดนให้เรียบร้อย

เสียงสะท้อนของทหาร ข่าวสารที่ออกมาตามสื่อต่าง ๆ ทำให้ประชาชนตีความเอาว่า “ใครกันที่กลัวธุรกิจชายแดนไทย-กัมพูชา จะพัง” “ธุรกิจที่ชายแดนเป็นธุรกิจอะไร”

“ทหารเคยขอยึดคืนปราสาทตาควาย แต่ไม่ได้รับการอนุมัติให้ลุยต่อ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าอนุมัติและเกิดการปะทะขึ้นอีก เขมรจะทำตัวเป็นเหยื่อ และสร้างภาพว่าถูกรังแก ประเทศที่สามก็จะยื่นมือเข้ามา” แหล่งข่าวคนหนึ่งระบุ

เขมรมีความเป็นเอกภาพมากกว่าเรา เพราะสั่งการจากคนคนเดียว แต่ของเราใครทำต้องรับผิดชอบ

ตอนนี้ทหารก็ต้องคุมไม่ให้เขมรเข้ามา อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะเจรจาอย่างไร เพื่อให้ปราสาทตาควายกลับมาเป็นของเรา แต่ถ้าจะให้ทหารทำ ก็ต้องใช้กำลัง

ล่าสุด วันนี้ (3 พ.ย.2568) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พูดถึงข้อกังวลเรื่องการถอนอาวุธหนักออกจากชายแดน ว่า ดำเนินการเฉพาะอาวุธหนัก ที่อาจส่งผลต่อประชาชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่

ทั้งนี้ยังมีอาวุธสนับสนุนระยะไกล เพื่อปกป้องประชาชน กรณีมีเหตุฉุกเฉิน และมีกลไกเสริมหลายวิธี ที่สามารถปฏิบัติได้

ในทางทหารระยะทางอาจมีผลต่อการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักเข้าพื้นที่ เพื่อปฏิบัติภารกิจ บ้าง แต่ยังมีองค์ประกอบสนับสนุนอื่น ที่สามารถนำมาชดเชยได้ อยู่ที่วิธีบริหารจัดการรองรับต่อสถานะการณ์ฉุกเฉิน

แม้อาวุธบางส่วน ถูกปรับออกจากพื้นที่หน้าแนว แต่ยังคงมีกองกำลังป้องกันชายแดนประจำอยู่ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวัง และรักษาปกป้องอธิปไตยตามปกติ

ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพบก ในการทำหน้าที่ปกป้อง รักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติให้ได้อย่างดีที่สุด ถึงแม้บางอย่างอาจไม่สามารถสื่อสารลงรายละเอียดได้มาก เพราะด้วยบรรยากาศและสภาพแวดล้อม

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ.อุกฤษณ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทั้งเรื่องถอนกำลังและการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ก็ยังมีการพูดคุยกันต่อไป

อาจจะไม่ราบรื่น แต่เป้าหมายต้องชัดเจน ถ้าจะให้เรานำไปสู่สันติภาพและสันติสุข และยังคงย้ำในเงื่อนไข 4 ข้ออยู่ คือ การถอนอาวุธ เก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามสแกมเมอร์ และการแก้ไขปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งทั้ง 4 ข้อ จะต้องได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ฝ่ายทหารและกองทัพของเรา จึงดำเนินการในเรื่องเชลยศึก การปักปันเขตแดนและการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ต่อไป

ส่วนที่มีข่าวว่า กัมพูชาขนอาวุธหนักกลับมาในพื้นที่ชายแดน นายอนุทินระบุว่า ขณะนี้ยืนยันว่า ต่างฝ่ายต่างถอยออกไป

ไปเอาข่าวมาจากไหน ไม่มี ข้อตกลงที่ทำไว้คือ ต่างคนต่างถอนอาวุธ ถ้าเข้ามาคือการฉีกข้อตกลง และจะถือว่าไม่มีข้อตกลง และสามารถทำตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม

ส่วนกรณีที่ประชาชนกังวลเรื่องการถอนอาวุธของไทย กลับที่ตั้ง จ.ลพบุรี หากเกิดเหตุที่ชายแด อาจกลับมาไม่ทัน นายอนุทินกล่าวว่า ถาม ผบ.ทสส.และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. เขาต้องรู้ว่า เขาต้องปกป้องประเทศอย่างไร ขอให้เชื่อมั่นในกองทัพ

จนถึงตอนนี้แม้จะมีคำอธิบายจากทั้งรัฐบาล และฝ่ายทหาร ผ่านสื่อก็ตาม แต่กระแสโซเชียลมีเดียของทหารหน้าแนว และคนในสังคมก็ไม่ได้ลดลง

เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน เรียกร้องให้ตรวจสอบ มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ซึ่งทหารหน้าแนวมองว่า เป็นผู้ที่เข้าไปช่วยพวกเขาคนแรก ๆ และจัดหาสิ่งที่ทหารร้องขอได้แทบทุกอย่าง

จนล่าสุดมีการเปิดประเด็นขอรับบริจาคเสื้อเกราะ Level 4 และสิ่งของต่าง ๆ โดยตั้งคำถามว่าทำไมกองทัพไม่จัดซื้อให้เป็นระบบ ทำไมต้องรับบริจาค ขณะที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นสิ่งจำเป็นของทหารหน้าแนว เพื่อให้ปลอดภัย และจัดซื้อในห้วงเวลาคับขัน

กระทั่ง พล.ต.ณัฐ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาโพสต์บนเพจส่วนตัวโต้ดรามา ว่าด้วยสิ่งของบริจาค….ความจริงจากทหารหน้าแนว

ถึงวันนี้ หากมองปรากฎการณ์ 3 เดือนที่ผ่านมา ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่แค่ระหว่างไทยกับเขมรเท่านั้น แต่อาจจะมีมิติอื่นด้วยก็เป็นได้

และอย่างน้อยเสียงสะท้อนที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นแล้วในโซเชียลมีเดีย

เรียบเรียง : เอมพงศ์ บุญญานุพงศ์ บรรณาธิการข่าวออนไลน์ ไทยพีบีเอส

อ่านข่าว : ศาลตรวจหลักฐานคดี "รักชนก-สหัสวัต" หมิ่น "สุชาติ" ปมตึก skyy9

4 พ.ย.นี้ กรมอุทยานฯ ตรวจกรง "สิงโตมเหสี" ครบกำหนดปรับปรุง 30 วัน

หนานหนิงศูนย์กลาง AI สะพานเทคโนโลยีจีน-อาเซียนสู่อนาคตดิจิทัล