ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

แจ้งเกิด “พล.อ.รังษี” ดาวรุ่งการเมืองไทย “สงครามไทย-กัมพูชา”

การเมือง
17:18
261
แจ้งเกิด “พล.อ.รังษี” ดาวรุ่งการเมืองไทย “สงครามไทย-กัมพูชา”

เกินความคาดหมาย เมื่อผลสำรวจ “กระแสการเมือง ภาคอีสาน”ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าโพล บุคคลที่คนอีสานจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งล่าสุด (27-30 ต.ค.2568) มีชื่อ “พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์”หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ ติด 1 ใน 7 และเป็นอันดับ 8 ของพรรคการเมืองที่คนอีสานจะให้การสนับสนุนในการเลือกตั้งครั้งหน้า

การไต่ระดับของ “เศรษฐกิจ” พรรคการเมืองเล็ก ๆ ต่างจากพรรคการเมืองใหญ่ เบอร์ต้น ๆของการเมืองไทย แม้อันดับ 1 ร้อยละ 32.40 ระบุว่า ยังหาผู้เหมาะสมที่คนอีสานจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่อันดับ 2 ร้อยละ 19.70 มีชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ยังเป็นอันดับ 3 และ นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย ติดในอันดับ 4 ส่วนค่ายสีฟ้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นอันดับ 5 ตามด้วยลำดับ 6 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคไทยสร้างไทย และอันดับ 7 เป็นของ พล.อ.รังษี

ส่วนพรรคการเมืองที่คนอีสานจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ยังเป็นพรรคประชาชน คิดเป็น 26.05% อันดับ 2 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ คิดเป็น 24.65% อันดับ 3 พรรคเพื่อไทย คิดเป็น 16.85% อันดับ 4 พรรคภูมิใจไทย คิดเป็น 15.75% อันดับ 5 พรรคประชาธิปัตย์ คิดเป็น 5.55%

อันดับ 6 พรรครวมไทยสร้างชาติ คิดเป็น 3.45% อันดับ 7 พรรคไทยสร้างไทย คิดเป็น 2.75% อันดับ 8 พรรคเศรษฐกิจ คิดเป็น 2.05%

อันดับ 9 พรรคพลังประชารัฐ คิดเป็น 1.50% และอีก 1.30% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคประชาชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคไทยก้าวใหม่ พรรคไทรวมพลัง พรรคชาติพัฒนา พรรคไทยภักดี พรรคกล้าธรรม และพรรคเสรีรวมไทย

แม้ยังไม่ลงสนามการเมืองอย่างเป็นทางการ แต่พรรคเศรษฐกิจได้แจ้งเกิดและกลายเป็น “ดาวรุ่ง”ทางการเมืองในช่วงสงครามไทย-กัมพูชา หลัง “พล.อ.รังษี” หัวหน้าพรรคฯ ออกโรดโชว์เดินสายให้ความเห็นแบบเปิดหน้าท้าชนในหลาย ๆ รายการวิเคราะห์การเมืองผ่านสื่อหลักและสื่อโซเชียล ด้วยลีลาและน้ำเสียงดุดันในแบบฉบับของอดีตทหารเก่า ถูกใจคอการเมืองสายชาตินิยม อย่างเห็นได้ชัด

ร.ศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดี คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายคะแนนนิยมที่เกิดขึ้นกับพล.อ.รังษี ในพื้นที่ภาคอีสานว่า ไม่เหมือนพรรคการเมืองทั่วไป พรรคการเมืองหลัก ส่วนใหญ่มักจะใช้นโยบาย “พรรค” นำคน แต่สำหรับพรรคเศรษฐกิจจะมีลักษณะเป็น “คน” นำพรรค ต่างจากพรรคประชาชนอย่างเห็นได้ชัด หากนับจากสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นกระแสชาติที่นิยมที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในประเทศไทย

ผลโพลของนิด้า ตอกย้ำให้เห็นกระแสชาตินิยม ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นในประเทศไทยแล้ว ยังขยายตัวในพื้นที่อีสานด้วย พิจารณาจากตัวของพล.อ.รังษี ที่แสดงจุดยืนทางการเมืองและแนวคิดที่สะท้อนในทางที่ดุเดือดกัมพูชามาตลอด...จุดนี้ ถือว่า ตอบโจทย์ความรู้สึกของพี่น้องอีสานที่มีพื้นที่ติดกับกัมพูชาและไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ในขณะนั้น

และยังเชื่อมโยงมาในบางเรื่องของกองทัพบางส่วนที่ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่และทำให้กองทัพถูกวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเป็นแบบนี้จึงไม่แปลกว่า เหตุใจคนอีสานจึงอยากเลือกพล.อ.รังษี มาเป็นลำดับต้นๆ

“พรรคเศรษฐกิจเป็นพรรคเล็กก็จริง แต่หากวางยุทธศาสตร์ถูก และรู้ว่ามีกระ แสชาตินิยมเกิดขึ้นแล้วในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น หากเขาเอาลงรายชื่อบุคคลที่มีจุดยืนทางการเมืองและมีแนวติดชาตินิยมคล้ายกันลงในบัญชี“ปาร์ตีลิสต์” ลำดับต้น ๆ ประเมินว่า แม้ประชาชนอาจจะเลือกสส.เขตจากคนตระกูลการเมืองหรือบ้านใหญ่ แต่อาจมีคนไทยจำนวนมากที่เทคะแนน “ปาร์ตีลิสต์” ให้พล.อ.รังษี”

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันปรากฎการณ์นี้ ไม่ได้มีเฉพาะในภาคอีสาน แต่กระแสรักชาตินิยมมาแรงทั่วประเทศ หากพิจารณาจะเห็นว่า ประชาชนคาดหวังกับรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล มากในเรื่องการแก้ปัญหากัมพูชา แต่กลับพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เช่น การเจรจาสันติภาพ ไม่เป็นไปตามที่เคยพูดไว้ จึงทำให้คะแนนนิยมของนายอนุทินจึงตกลงมาอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อคนโหยหา ความคิดแบบชาตินิยมสูงมากจึงเท่ากับการเปิดทางการเมืองให้กับ พล.อ.รังษี หากได้ลงสส.บัญชีรายชื่อแล้วทำแคมเปญกระแสชาตินิยมโอกาสที่จะทำให้พรรคเศรษฐกิจได้สส.บัญชีรายชื่อและสส.เขตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากเลือกสส.เขตที่มีความปราะบางอ่อนไหวในเรื่องไทย-กัมพูชา ก็อาจจะมีคะแนนมากพอสมควร แม้จะต้องไปต่อสู้กับบ้านใหญ่ก็ตาม

ร.ศ.ดร.โอฬาร ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ “เศรษกิจ” จะเป็นพรคการเมืองขนาดเล็กธรรมดา ๆ แต่มีจังหวะในการแสดงออกทางการเมืองตอบโจทย์ความรู้สึกคน และไม่มีใครสามารถตอบแทนความรู้สึกของคนได้ดีเท่ากับพล.อ.รังษี ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการหรือนักการเมือง

เนื่องจากทุกคนจะมีลักษณะท่าทางการสื่อสารแบบประนีประนอมเพื่อพยายามประคับประคองสถานการณ์ เพราะไม่สามารถใช้วิธีการชาตินิยมแบบสุดโต่งได้ เพราะจะกระทบภาพลักษณ์มิติการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

แต่พล.อ.รังษีไม่ได้อยู่ในอำนาจ จึงสามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ในฐานะอดีนนายทหารที่มีประสบการณ์และมีความสามารถในการสื่อสารที่ใช้ภาษาง่ายกระชับจึงตอบโจทย์คนที่อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่รัฐบาลทำไม่ได้ จึงทำให้พรรคของพล.อ.รังษีโตขึ้นมาตามตัวพล.อ.รังษีไปด้วย

ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าจึงมีความเป็นไปสูงที่พรรคเล็ก ๆ ของพล.อ.รังษี จะได้เก้าอี้ในสภา 1-5 คน หากทำยุทธศาสตร์ทางการเมืองดี ๆ เป็นแนวทางชาตินิยมที่ไม่สุดโต่งมากนักเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและมีข้อเสนอที่แหลมคมเพื่อแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา 

หากดูนโยบายของพรรคการเมืองหลักในทุกๆ พรรคการเมืองในปัจจุบัน ยังไม่มีนโยบายพรรคไหนที่กล้าแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวกับกัมพูชาเลย

สำหรับพรรคเศรษฐกิจใหม่มีชื่อเดิม "พลังพลเมืองไทย" ก่อตั้งเมื่อนที่ 2 มี.ค. 2561 มีชื่อเดิม "พลังพลเมืองไทย โดยมี นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และนายเอกพร รักความสุข เป็นเลขาธิการพรรคฯ ส่วนรองเลขาธิการพรรค ฯ คือ “ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์” บุตรสาวของนายสัมพันธ์

ในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคพลเมืองไทย มีนายสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าพรรคฯเช่นเดิม ในปี 2566 นายสัมพันธ์ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรค และนำ “ศิลัมพา ” ซึ่งเป็น ส.ส. คนเดียวของพรรคย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติขับออกจากพรรคเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2566

ต่อมาพรรคพลเมืองไทยเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคเส้นด้าย ได้ “คริส โปตระนันทน์” อดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ในเดือนเม.ย.2568 “คริส” ลาออกจากหัวหน้าพรรคฯ เปิดทางให้เลือกหัวหน้าคนใหม่ มีการเปลี่ยนชื่อพรรคเส้นด้าย เป็น พรรคเศรษฐกิจ โดยที่ประชุมมีมติให้ พล.อ. รังษี เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนคริส เป็นประธานพรรคฯ ขณะ “พีรพล กนกวลัย” เป็นเลขาธิการพรรค

“เศรษฐกิจ” แม้จะเป็นพรรคที่เป็นมือใหม่ทางการเมือง และยังไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้งใหญ่อย่างเป็นทางการ แต่กลายเป็นตัวเลือกใหม่ และถือเป็นปรากฎการณ์ “คน”นำพรรค ฯ ครั้งสำคัญ ซึ่งมักจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ซึ่งการแจ้งเกิดผ่านผลโพลของนิด้า จึงน่าจับตามองอย่างยิ่ง

 อ่านข่าว 

ดงหนาม “ชินวัตร” จุลพันธ์ ลุยฝ่ากับดัก ชี้ชะตาอนาคต “เพื่อไทย”

เผยโฉมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ 29 คน

“ไทย-กัมพูชา” สงบศึก ปักหมุดหลักเขตชั่วคราว "พื้นที่อ้างสิทธิ"