ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"วุ้นตาเสื่อม" ภัยเงียบในดวงตาสัญญาณเตือนวัย 40+ ไม่ควรมองข้าม

ไลฟ์สไตล์
19:18
147
"วุ้นตาเสื่อม" ภัยเงียบในดวงตาสัญญาณเตือนวัย 40+ ไม่ควรมองข้าม
วุ้นตาเสื่อมคือ "สัญญาณร่วงโรย" ของดวงตาที่พบมากในวัย 40 ปีขึ้นไป เริ่มจากจุดดำลอยไปมา สุดท้ายอาจเสี่ยงจอประสาทตาฉีกขาดนำไปสู่ตาบอด แต่ไม่ต้องตื่นตระหนก ด้วยการตรวจตาและดูแลง่าย ๆ ก็ป้องกันได้ทันที ชวนสำรวจสาเหตุ อาการ และวิธีรับมือ

ลองนึกภาพ เวลาที่กำลังเพลิดเพลินกับท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ แล้วจู่ ๆ ก็มี "จุดดำ" หรือ "เส้นใย" ลอยว่อนไปมาแทบทุกครั้งเวลากลอกตา "มันเหมือนมีตัวอะไรแอบอยู่ในตาเลยใช่ไหม ?" นั่นแหละ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ "วุ้นตาเสื่อม" ภาวะที่วุ้นตา เจลใส ๆ ตัวกลางที่ช่วยให้แสงผ่านเข้าไปถึงจอประสาทตา เริ่มเสื่อมสภาพตามวัย เหมือนผิวหนังที่เหี่ยวย่นเมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง

วุ้นตาเปรียบเสมือน "น้ำเชื่อม" ในดวงตา ประกอบด้วยน้ำถึงร้อยละ 95-98 และเส้นใยคอลลาเจนอีกร้อยละ 2-5 ที่ช่วยให้ทุกอย่างสมดุล

ในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น เส้นใยเหล่านี้จะเรียงตัวสวยงาม แนบสนิทกับจอประสาทตา แต่พออายุเลย 40 ปี เส้นใยคอลลาเจนจะเริ่มขาดวิ่น หดตัว จับตัวเป็นก้อนตะกอน ทำให้เกิดอาการเห็นจุดลอยหรือหยากไย่ โดยเฉพาะในที่สว่างจ้า เช่น กำแพงขาวหรือท้องฟ้า ถ้าปล่อยไว้ อาจเข้าสู่ระยะ 2 คือ "วุ้นตาแยกตัว" จากจอประสาทตา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นไร แต่บางรายเส้นใยเกาะแน่นเกินไป ทำให้ดึงจอตาฉีกขาด หากไม่รักษา อาจหลุดลอกทั้งดวง ส่งผลให้ตาบอดได้เลย

แล้วอะไรคือตัวการทำให้วุ้นตาเสื่อมเร็วขึ้น ?

แน่นอนว่าอายุเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งแก่ยิ่งเสี่ยง เพราะคอลลาเจนเสื่อมตามธรรมชาติ แต่ถ้าคุณสายตาสั้นมาก ลูกตาจะยาวกว่าปกติ เวลากลอกตาวุ้นตาแกว่งแรง เกิดการเสื่อมได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ อุบัติเหตุกระทบตา เช่น โดนลูกบอลหรือหกล้ม ก็เร่งให้เกิดเร็วกว่าปกติ แม้แต่เบาหวานที่ขึ้นตา ทำให้เส้นเลือดเปราะแตก รั่วเลือดในวุ้นตา ก็เป็นตัวเร่งร้ายแรง ที่น่าตกใจคือ จากข้อมูลปี 2568 ของ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงวุ้นตาเสื่อมสูงถึง 2 เท่า และยังมีปัจจัยอื่นอย่างการอักเสบในตา หรือพันธุกรรมที่ซ่อนอยู่ด้วย

อาการหลัก ๆ ที่ต้องจับตา ?

อันตรายข้อแรกที่หลายคนมองข้ามคือ "ความรำคาญสะสม" จุดลอยเหล่านี้ไม่ใช่แค่กวนใจตอนอ่านหนังสือหรือจ้องหน้าจอ แต่ทำให้คุณขยี้ตาบ่อย ๆ เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อหรืออักเสบดวงตา นอกจากนี้ ในที่สว่างจ้า รอยหยากไย่อาจบดบังวิสัยทัศน์ชั่วขณะ ส่งผลต่อกิจวัตรประจำวัน จนเครียดสะสมและนอนไม่หลับ สุดท้ายกลายเป็นวงจรที่ทำให้สุขภาพตาโดยรวมแย่ลง

ต่อมาคือ "ภาพบิดเบี้ยวและแสงผิดปกติ" เมื่อวุ้นตาเสื่อม อาจก่อให้เกิดรูรั่วเล็ก ๆ ที่จอประสาทตา ทำให้แสงสะท้อนผิดทิศ สร้าง "เงาดำ" หรือ "แสงวาบ" คล้ายฟ้าผ่าในตา โดยเฉพาะเวลากลอกตาแรง ๆ ถ้าเห็นแบบนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะในคนสายตาสั้นหรือเพิ่งผ่าต้อกระจก นั่นคือธงแดง ถ้าปล่อยรูรั่วขยาย อาจทำให้เลือดออกในช่องวุ้นตา ทำให้มองไม่ชัดแบบหมอกลงกะทันหันได้

ปัญหาที่รุนแรงยิ่งกว่าคือ "จอประสาทตาฉีกขาดและหลุดลอก" เมื่อวุ้นตาดึงจอตาแรงเกิน จอจะฉีกขาดเหมือนกระดาษเปียกน้ำ ถ้าไม่จี้เลเซอร์ให้ติดกันภายใน 72 ชั่วโมง โอกาสหลุดลอกทั้งดวงจะพุ่งสูงถึงร้อยละ 50 ส่งผลให้ส่วนกลางของการมองเห็นบวมหรือเสียหาย ถ้าถึงขั้นนี้ ต้องผ่าตัดด่วนเพื่อป้องกันตาบอดข้างนั้นไปเลย 

และสุดท้ายที่เลวร้ายที่สุด "สูญเสียการมองเห็นถาวร" ถ้าปัญหาลุกลามนานหลายเดือนโดยไม่ตรวจ จอตาที่หลุดลอกอาจเสื่อมสภาพไม่หาย ทำให้ตาบอดข้างนั้น 100% ส่งผลกระทบชีวิตทั้งหมด ข้อมูลจาก Retina Consultants of Minnesota ถ้าปล่อยให้มีอาการวุ้นตาเสื่อมไว้โดยไม่ทำการรักษา สถิติการสูญเสียการมองเห็นถาวรจะอยู่ที่ร้อยละ 5-10 แต่ถ้าเข้ารับการรักษาได้เร็ว โอกาสสูญเสียจะลดลงเหลือเกือบศูนย์

วุ้นตาเสื่อม หายไปเองได้ไหม ?

อาการวุ้นตาเสื่อมส่วนใหญ่มักค่อย ๆ ดีขึ้นเองภายใน 2-3 เดือน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น รอยฉีกขาดหรือรูรั่วที่จอประสาทตา ซึ่งอาจทำให้ปัญหาลุกลามจนคุกคามการมองเห็นได้ แต่ถ้าพบสัญญาณเหล่านี้ เช่น แสงวาบหรือจุดลอยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่าชะล่าใจ รีบพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้

การตรวจวินิจฉัยเริ่มต้นด้วยการตรวจส่วนหน้าของดวงตา จากนั้นจักษุแพทย์จะหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อสำรวจวุ้นตาและจอประสาทตาอย่างละเอียด หลังหยอดยา ดวงตาจะพร่ามัวชั่วคราว มองแสงสว่างจ้าไม่ได้ นาน 4-6 ชั่วโมง ดังนั้น ควรเตรียมแว่นกันแดดและมีผู้ช่วยขับรถไปด้วย เพื่อความสะดวกและปลอดภัย

ป้องกัน "ดวงตา" ยังไงให้แข็งแรง ?

  1. ดูแลดวงตาอย่างอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรง ๆ หรือกิจกรรมเสี่ยงบาดเจ็บ เช่น เล่นกีฬาโดยไม่สวมแว่นป้องกัน เพื่อป้องกันการกระแทกที่อาจเร่งภาวะวุ้นตาเสื่อม
  2. ตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อค้นหาปัญหาแต่เนิ่น ๆ และป้องกันความเสี่ยง
  3. สวมแว่นกันแดดคุณภาพสูงที่กรอง UV ได้ 100% ทุกครั้งออกแดด เพื่อลดความเสียหายจากแสงอัลตราไวโอเลตที่อาจทำลายโครงสร้างในตา
  4. กินอาหารบำรุงตา เช่น ผักใบเขียว (คะน้า, ผักโขม), ปลาแซลมอน, แครอท และผลไม้สีส้ม ที่อุดมด้วยวิตามิน A, C, E, ลูทีน และซีแซนทีน เพื่อเสริมเกราะป้องกันเซลล์ตา
  5. ควบคุมน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้คงที่ หากเป็นเบาหวานหรือความดันสูง เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อจอประสาทตาเสื่อมและวุ้นตาแยกตัว
  6. พักสายตาจากหน้าจอ ปฏิบัติกฎ 20-20-20 ทุก 20 นาที พักมองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที หรือหลับตาแล้วบังแสง 1-2 นาที เพื่อลดอาการล้าตาและชะลอการเสื่อมของวุ้นตา
  7. เลิกสูบบุหรี่ เพราะการสูบเพิ่มความเสี่ยงวุ้นตาเสื่อมและโรคตาอื่น ๆ สูงขึ้นถึง 2-4 เท่า หยุดสูบเพื่อสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว

อย่าคิดว่า "แค่จุดลอยนิดหน่อย" เพราะเป็นสัญญาณร่างกายที่เตือนให้ดูแลตัวเอง
ลองนัดตรวจตาวันนี้ แล้วคุณจะมองโลกชัดเจนยิ่งขึ้น สุขภาพดีเริ่มจากดวงตาที่สดใส

ที่มาข้อมูล : รพ.พญาไทรพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล Bangkok Eye Hospital, University Retina

อ่านข่าวอื่น : 

เร่งช่วย-กู้ซาก แผ่นดินไหว 6.3 อัฟกานิสถาน ดับเพิ่มเป็น 20 เจ็บ 320

นายกฯ ญี่ปุ่นประกาศชัด! อยากพบ คิม จอง-อึน แก้ปัญหาลักพาตัว