เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 ปธน.สหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เปิดทางให้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารกว่า 200 รายการได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีตามนโยบายภาษีต่างตอบแทน และให้มีผลย้อนหลังไปบังคับใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 13 พ.ย. ซึ่งเป็นท่าทีที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่านี่คือการยอมรับว่านโยบายกำแพงภาษี ทำให้สินค้าราคาแพงขึ้นจริงอย่างที่เตือนกันไว้ตั้งแต่แรก
ทำเนียบขาวออกเอกสารอธิบายคำสั่งนี้ไว้ว่าเป็นความก้าวหน้าในการเจรจาการค้าทวิภาคีของ ปธน.สหรัฐฯ ที่ทำให้ได้เงื่อนไขต่างตอบแทนเหล่านี้มา หลังจากทรัมป์ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากชาติต่าง ๆ ไว้เมื่อวันปลดแอกสหรัฐฯ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา
คำสั่งใหม่มีผลครอบคลุมผลผลิตหลัก ๆ ทั้งกาแฟ โกโก้ กล้วย เนื้อวัว ไปจนถึงกลุ่มเครื่องเทศและธัญพืชต่าง ๆ และสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตอาหารและปุ๋ยด้วย
แต่เรื่องจังหวะเวลา ก็ทำให้น่าจับตา เมื่อคำสั่งนี้มีออกมาในตอนที่ผลการเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าในหลายพื้นที่ ทั้งที่มหานครนิวยอร์ก รัฐเวอร์จิเนีย หรือ นิว เจอร์ซีย์ พบว่าพรรครีพับลิกันทำผลงานได้ไม่ค่อยสู้ดีนักและประเด็นปากท้องโดยเฉพาะเรื่องข้าวยากหมากแพงกลายเป็นประเด็นหลักที่ผู้คนให้ความสนใจ
ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคในสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายน ชี้ว่า ราคาสินค้าหลายรายการเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 1 ปีก่อนไม่ใช่น้อย ๆ
โหดที่สุดน่าจะเป็นกาแฟคั่วบดที่แพงขึ้นถึงร้อยละ 18.9 ตามมาด้วยเนื้อบดที่ร้อยละ 12.9 และกระทั่งกล้วยที่ราคาสูงขึ้นร้อยละ 6.9 ในระยะเวลา 1 ปี หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเทียบระหว่างตอนนี้กับช่วงปลายรัฐบาลของ โจ ไบเดน
ข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ชี้ว่า ในเดือนกันยายน ราคาเฉลี่ยของเนื้อบดน้ำหนักประมาณ 450 กรัม ในสหรัฐฯ ขายอยู่ที่ 6 ดอลลาร์ 30 เซนต์ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ติดตามเก็บข้อมูลราคาเนื้อวัวมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 และยังแพงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ถึงร้อยละ 65
เนื้อบดเป็นแค่ตัวอย่างหนึ่ง เพราะทั้งหมดทั้งมวล ราคาอาหารที่ทำกินในครัวเรือนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.7 เท่ากับชาวอเมริกันต้องรับภาระค่าใช้จ่ายรายวันเพิ่มกันถ้วนหน้า
แต่เพื่อความเป็นธรรมต้องบอกว่านโยบายภาษีของทรัมป์ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ข้าวของแพงขึ้น
จริง ๆ ทรัมป์อธิบายไว้ด้วยว่าสินค้ากลุ่มที่งดเว้นภาษีให้ในรอบนี้ สหรัฐฯ ไม่ได้ผลิตหรือผลิตได้ไม่พออยู่แล้ว การนำเข้าไม่ทำให้เกิดการแข่งขันและไม่ต้องใช้มาตรการภาษี เพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ ซึ่งแม้ว่าคำสั่งจะสะท้อนถึงปัญหา แต่จริง ๆ ที่สินค้าบางอย่างแพงขึ้นมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง
กรณีเนื้อวัว มีทั้งเรื่องเศรษฐกิจและโลกร้อนมาเกี่ยวด้วย เพราะเดี๋ยวนี้จำนวนวัวลดลง ในขณะที่คนยังบริโภคเท่าเดิม ราคาจึงเพิ่มสูงขึ้น พูดง่าย ๆ คือ สหรัฐฯ เลี้ยงวัวไม่พอให้คนกินเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการนำเข้าเนื้อวัวยากลำบากขึ้นด้วยกำแพงภาษีเช่นกัน
ไม่ต่างจากกาแฟคั่วบด ที่ปัจจุบันราคาพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากช่วงก่อนโควิด-19 ปัจจัยอย่างหนึ่งหนีไม่พ้นสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลงในหลายประเทศ แต่การที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อย่างบราซิลร้อยละ 50 กับเวียดนามที่ร้อยละ 20 ก็ยิ่งทำให้ให้สถานการณ์ราคากาแฟหนักหน่วงไปกว่าเดิม
ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดบ้าง แต่ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยเป็นกังวลกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวซีบีเอสและยูกอฟ เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชี้ว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 62 ไม่พึงพอใจการบริการงานด้านเศรษฐกิจของประเทศและร้อยละ 66 ไม่พอใจการจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่ภาพรวมความพึงพอใจในประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 40 ต้น ๆ ซึ่งรักษาระดับมาได้หลายเดือนแล้ว
ขณะที่ความไม่มั่นคงทางอาหารในสหรัฐฯ ก็น่าจับตา เพราะตัวเลขปีนี้ชี้ว่ามีคนที่ประสบปัญหาในการหุงหาอาหารมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว หลังจากอัตราส่วนลดลงมาตั้งแต่ปี 2565 หรือในช่วงที่มีปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี หลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 ซึ่งแม้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาแล้ว แต่ราคาอาหารกลับยังสูงลิ่วอยู่
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนชี้ว่าปัญหาข้าวยากหมากแพงและเงินเฟ้อ ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยภายกำแพงภาษี เพราะธุรกิจในสหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระจากภาษีในรูปแบบของกำไรที่ลดน้อยลงและผลักภาระส่วนนี้ไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะมากน้อยต่างกันไปในแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งผลสำรวจที่จัดทำโดย Harris Poll เมื่อเดือนกันยายน ชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่บอกว่าตัวเองมีรายจ่ายรายเดือนเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่เดือนละ 100 ไปจนถึง 749 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตั้งแต่ราวๆ 3,200 ไปจนถึง 24,000 บาทเลยทีเดียว
ตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพยายามดับไฟที่ตัวเองก่ออยู่และที่ยอมกลับลำยกเว้นภาษีก็เป็นเหมือนการยอมรับกลาย ๆ ว่าทำพลาดและทำให้ประชาชนต้องรับภาระไปจริง ๆ อย่างที่คาด ซึ่งสะท้อนออกมาทั้งในผลการเลือกตั้งและผลสำรวจต่าง ๆ จนสุดท้ายต้องยอมแก้เกมก่อนจะถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในช่วงปลายปีหน้า
ล่าสุดมีผุดนโยบายประชานิยม เตรียมนำเงินที่ได้จากการเก็บภาษีนำเข้ามาแจกจ่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางคล้ายกับเป็นเงินปันผลด้วยเพื่อพิสูจน์ ความสำเร็จ ซึ่งต้องรอดูว่าจะเกิดขึ้นจริงไหมในปีหน้า
อ่านข่าวเพิ่ม :











