ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ส่องอาวุธ "จีน" ในคลังแสง "กัมพูชา"

ต่างประเทศ
19:26
274
ส่องอาวุธ "จีน" ในคลังแสง "กัมพูชา"
อ่านให้ฟัง
07:30อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ช่วงการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่เดือน ก.ค.มีการพูดถึงอาวุธหลายประเภทในคลังแสงของกัมพูชา ที่ถูกนำมาใช้ในการสู้รบ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า อาวุธเหล่านั้น จำนวนมากนำเข้ามาจากจีน แต่การซื้อขายอาวุธในภาวะที่ไม่ปกติเช่นนี้ ทำได้หรือไม่

กัมพูชาอัดฉีดงบประมาณในแต่ละปีจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อจัดซื้ออาวุธจากหลายประเทศ ซึ่งในอดีตมักจะเป็นอาวุธจากกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออก ทั้งเซอร์เบีย บัลแกเรีย ยูเครนและสาธารณรัฐเช็ก แต่ในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา จีนกวาดคำสั่งซื้อจากกัมพูชาไปได้ทั้งหมด

ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวที่อยู่ในความสนใจของใครหลาย ๆ คน หนีไม่พ้น กรณีทหารไทยยึดอาวุธต่อต้านรถถังนำวิถี GAM-102LR สัญชาติจีน รุ่นล่าสุดได้เป็นจำนวนมาก หลังจากเข้าตีฐานกัมพูชาและยึดเนิน 500 บริเวณพื้นที่ช่องอานม้า ใน จ.อุบลราชธานีได้สำเร็จ

กองทัพไทย ระบุว่า นี่ถือเป็นการค้นพบอาวุธหนักและทันสมัยที่สำคัญอย่างยิ่งในแนวรบ โดยคาดว่า ทหารกัมพูชายังไม่มีความชำนาญในการใช้อาวุธชนิดนี้ และเมื่อถูกทหารไทยบุกโจมตี จึงทิ้งอาวุธไว้แล้วหลบหนีไป

มีรายงานว่า ขณะนี้ ฝ่ายความมั่นคงกำลังจับตามองถึงแหล่งที่มาของเงินทุนและผู้สนับสนุนในการจัดหาอาวุธล้ำสมัยให้กับกัมพูชา ซึ่งอาวุธดังกล่าวมีมูลค่าหลายล้านบาทต่อชิ้น ขณะที่กัมพูชาจัดสรรงบประมาณกลาโหมในปีนี้อยู่ที่ราว ๆ 739 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท น้อยกว่าไทยเกือบ 10 เท่า

สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยอิสระในสวีเดน รวบรวมข้อมูลการซื้อขายอาวุธทั่วโลก พบว่า นับตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปัจจุบัน กัมพูชาสั่งซื้ออาวุธจากจีนอย่างน้อย 14 รายการ โดยในช่วงปี 2000 - 2010 มี 2 คำสั่งซื้อ ได้แก่ เรื่องลาดตระเวนและขีปนาวุธ ขณะที่ในปี 2011 - 2020 กัมพูชาสั่งซื้ออากาศยานและรถหุ้มเกราะจากจีนรวม 4 คำสั่งซื้อ

แต่ว่านับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา จีนได้รับคำสั่งซื้ออาวุธจากกัมพูชาเท่าที่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการมากถึง 8 คำสั่งซื้อ โดยแบ่งเป็นอาวุธประเภทปืนใหญ่ 3 รายการในปี 2021 และในปีถัดมา กัมพูชาสั่งซื้อตั้งแต่เรือรบ 2 ลำ ขีปนาวุธที่จะติดตั้งบนเรือรบ และขีปนาวุธประเภทอื่น ๆ รวมไปถึงระบบป้องกันภัยทางอากาศด้วย

นับตั้งแต่จีนยกระดับความร่วมมือทางการทหารกับกัมพูชา รวมถึงช่วยปรับปรุงฐานทัพเรือเรียม แทนที่บทบาทของสหรัฐฯ ทั่วโลกก็จับตามองถึงการรุกคืบของจีน ที่เข้ามามีอิทธิพลเหนือกัมพูชาเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความพยายามในการเสริมเขี้ยวเล็บกองทัพเรือกัมพูชา

ปัจจุบัน คำสั่งซื้ออาวุธจีนที่ยังคงค้าง-รอการจัดส่งมาตั้งแต่ปี 2022 คือ เรือฟริเกต 2 ลำ พร้อมกับขีปนาวุธต่อต้านเรือและขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานที่จะติดตั้งบนเรือรบ หลังจากจีนส่งเรือรุ่นนี้เข้าเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียมเมื่อปลายปีที่แล้ว รวมทั้งยังส่งเข้าร่วมภารกิจซ้อมรบร่วมจีน-กัมพูชา Golden Dragon เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาด้วย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นในฝั่งไทยจากการโจมตีของกัมพูชาจำนวนมากมาจากเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง ซึ่งถ้านับจากคำสั่งซื้อของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จากฐานข้อมูลระหว่างประเทศ จะพบว่า มีอาวุธประเภทนี้ในคลังแสงกัมพูชา 3 รุ่น ได้แก่ RM-70 สั่งซื้อในปี 2012 จากสโลวาเกีย 5 ระบบ และจากสาธารณรัฐเช็กอีก 20 ระบบ

ขณะที่ในปี 2021 กัมพูชาสั่งซื้อเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องจากจีนเพิ่มอีก 2 รุ่น และได้รับส่งมอบในปี 2022 ซึ่งในจำนวนนี้ มี PHL-03 ที่หลายคนกังวลรวมอยู่ด้วยจำนวน 6 ระบบด้วยกัน

หนึ่งในคำถามที่เป็นที่ถกเถียงกันเป็นวงกว้าง นั่นคือ การจัดส่งอาวุธให้กับประเทศต่าง ๆ ใช้ทำสงครามในภาวะที่มีความขัดแย้งทางอาวุธ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ถูกต้องแล้วหรือไม่

ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มักจะถูกหยิบขึ้นมาพูดถึง นั่นคือ สนธิสัญญาว่า ด้วยการค้าอาวุธ ปี 2013 ซึ่งปัจจุบัน มากกว่า 110 ประเทศทั่วโลก รับรองสนธิสัญญาฉบับนี้ หลังประชาคมระหว่างประเทศใช้เวลานานถึง 7 ปี กว่าที่จะเห็นชอบร่วมกันได้บนเวทีสหประชาชาติ

สำหรับประเทศผู้ส่งออกอาวุธ มองว่า สนธิสัญญาฉบับนี้จะเป็นกรอบที่กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาวุธอย่างโปร่งใสและทำให้การค้าอาวุธข้ามชาติมีความชอบธรรมบนพื้นฐานที่เห็นชอบร่วมกัน เพื่อลดความเจ็บปวดของมนุษย์ ส่งเสริมการกระทำที่มีความรับผิดชอบ และความโปร่งใสในการค้าอาวุธ

ขณะที่ประเทศผู้นำเข้าอาวุธเองก็จะได้มีกรอบการดำเนินการที่ชัดเจน และเป็นไปตามสิทธิอันชอบธรรมในการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวไม่ได้ห้ามการซื้อขายอาวุธในภาวะสงคราม แต่ห้ามการโอนอาวุธที่จะไปขัดต่อพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ นั่นหมายความว่า ถ้ารัฐภาคีรู้ว่าอาวุธจะถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศร้ายแรง ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมสงคราม หรือละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รัฐนั้น ๆ จะส่งอาวุธไม่ได้

หรือถ้ายังไม่รู้ชัดเจน รัฐภาคีก็จะต้องประเมินความเสี่ยงว่า อาวุธดังกล่าวมีโอกาสถูกนำไปใช้ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศหรือไม่ ซึ่งถ้าพบความเสี่ยง ก็จะห้ามส่งเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามข้อ 7 ของสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ โดยจีนเป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญาฉบับนี้ด้วย 

การตรวจพบอาวุธจีนจากฐานกัมพูชา ซึ่งเป็นรุ่นที่ไม่ได้ปรากฏในฐานข้อมูลระหว่างประเทศ ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงความยากลำบากในการตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อและจัดส่งอาวุธต่าง ๆ อย่างโปร่งใส ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความขัดแย้งปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค

อ่านข่าว : ชายแดนสุรินทร์ปะทะวันที่ 8 - โคราชได้เบาะแสทหารรับจ้างหวังโจมตีกองบิน 1

ควบคุม "ปราสาทตาควาย" ได้แล้ว - เนิน 350 ยังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ

ทภ.2 คุมเข้มด่านช่องเม็ก งดส่งออกน้ำมัน-ยุทโธปกรณ์ มีผลเที่ยงคืนนี้