มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการหลังาจากขึ้นค่าแรง 300 บาท

กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง เตรียมข้อสรุป 3 มาตรการ ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้ไม่เกินปีละ 30 ล้านบาท นำส่วนต่างของอัตราค่าจ้างเดิม และค่าจ่ายใหม่หักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า

นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้างกลาง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ได้ติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2555 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ผิดปกติ ทั้งค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ โดยที่ประชุมได้มีการเร่งรัด มาตรการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยจะเร่งเสนอมาตรการช่วยเหลือ ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา เช่นมาตรการลดภาษีส่วนต่างที่เกิดขึ้น จากการปรับค่าจ้างขั่นต่ำ จำนวน 1.5 เท่า ซึ่งต้องเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านต่อปี / มาตรการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน การยกเว้นภาษีเงินได้ จากการขายเครื่องจักรเก่านำไปซื้อเครื่องจักรใหม่ รวมทั้งสามารถหาค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ ได้ 100% ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อม ภายใน 5 ปี

ขณะที่ ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้เตรียมเงินกู้วงเงิน 10,000 ล้านบาท ในโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาธุรกิจ ผ่านธนาคารจำนวน 5 แห่ง คือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์ และธนาคารเกียรตินาคิน จากการตรวจสอบขณะนี้วงเงินกู้ยังเหลือเพียงพอต่อการปล่อยกู้ เนื่องจากขณะนี้ยังมีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการไม่มาก

ส่วนกรณีค่าจ้างไม่เป็นธรรม นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน กล่าวถึง กรณีที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ระบุว่า ได้รับการร้องเรียนจากแรงงาน กรณีค่าจ้างไม่เป็นธรรม โดยถูกนายจ้างข่มขู่ไล่ออก และบังคับให้เซ็นยินยอมรับค่าจ้างตามที่บริษัทกำหนด โดยนำสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่าอาหาร ค่ารถมารวม รวมทั้งลดค่าครองชีพ โบนัส เพื่อให้จ่ายค่าจ้างได้วันละ 300 บาท จึงอยากให้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย แจ้งข้อมูลรายละเอียดแรงงานที่ร้องเรียนให้ชัดเจน เพื่อจะส่งพนักงานตรวจแรงงาน ตรวจสอบและแก้ปัญหาได้

โดยหากนายจ้างกระทำการดังกล่าวจริง ตามขั้นตอน จะออกหนังสือเตือนให้ปรับขึ้นค่าจ้างภายใน 30 วัน หลังจากนั้นหากไม่ปฏิบัติตาม จะดำเนินคดีตามมาตรา 114 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ