ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สุไพรพล ช่วยชู & จักรภพ เพ็ญแข รักแท้…ที่มีอยู่จริง


Interview

สันทัด โพธิสา

แชร์

สุไพรพล ช่วยชู & จักรภพ เพ็ญแข รักแท้…ที่มีอยู่จริง

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2859

สุไพรพล ช่วยชู & จักรภพ เพ็ญแข  รักแท้…ที่มีอยู่จริง

 

“มิถุนายน”…เดือนที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหลากหลาย และดูเหมือนว่า มิถุนายน ปี 2568 จะเต็มไปด้วยสีสัน และมากไปด้วยความน่ายินดี เมื่อประเทศไทยประกาศใช้ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” เป็นครั้งแรก มีผลทำให้ “คู่รัก” ในหลากหลายเพศสภาพ สามารถจดทะเบียนสมรส และต่อยอดไปถึงเรื่องการทำธุรกรรมร่วมกันอีกมากมาย

หนึ่งในคู่รักที่เดินหน้าสู่การใช้กฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” นั่นคือ จักรภพ เพ็ญแข และ สุไพรพล ช่วยชู ทั้งคู่เดินทางไปจดทะเบียนสมรส ที่เขตบางรัก เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 กลายเป็นข่าวที่สร้างความสนใจให้กับสังคมในวงกว้าง

หลังเหินห่างจากประเทศไทยไปกว่า 15 ปี จักรภพเดินทางกลับสู่แผ่นดินไทยเมื่อปี 2567 ก่อนจะ “เปิดตัว” เรื่องราวความรักความสัมพันธ์กับ ป๊อบ – สุไพรพล ช่วยชู ซึ่งทั้งคู่สานความสัมพันธ์กันมายาวนานกว่า 23 ปี เป็นความรักที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ ผ่านสุข พบเจอทั้งวันที่ฟ้าสดใส หรือแม้แต่วันที่ต้องฝ่ามรสุมหนัก ๆ โดยเฉพาะมรสุมทางการเมือง ที่ทำให้ทั้งคู่ต้อง “ห่างกัน” ไปกว่า 15 ปี 

ทว่าในวันนี้ ทั้งสองได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน จักรภพและสุไพรพลเพิ่งฉลองงานแต่งงานกันไปเมื่อมีนาคม 2568 มากไปกว่านั้น ทั้งคู่กลายเป็น “ไอคอน” ที่บรรดาคู่รักมากมาย ต่างชื่นชมในความมั่นคงทางความรัก 

“มีคนเข้ามาทักทายเยอะ ไม่ได้หมายถึงคนที่รู้จักกันเท่านั้น คนไม่รู้จักก็เข้ามาทักทาย บางทีเขาแยกแยะชัดเจน เรื่องการเมืองก็เรื่องหนึ่ง เรื่องเพศสภาพก็เรื่องหนึ่ง ซึ่งทำให้ชีวิตน่าอยู่ขึ้น เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันหมดในเรื่องเดียวกัน แต่เราต้องมีความเป็นมิตรภาพที่จะสื่อสารกันได้” จักรภพพูดพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดี 

เขาเล่าเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่กลับสู่เมืองไทย ชีวิตดูเรียบง่าย และมีความสุขกับความรัก หลังจากที่ต้องอดทนรอคอยกว่า 15 ปี Thai PBS ชวนทั้งสองมาร่วมพูดคุย เรื่องราวความรักตลอด 23 ปีที่ผ่านมา อะไรที่ทำให้ทั้งสองยังเกาะเกี่ยวกันไว้ ทำอย่างไรให้ชีวิตคู่เดินทางมาถึงวันนี้ พื้นที่จากนี้มีคำตอบ…

จักรภพ เพ็ญแข - สุไพรพล ช่วยชู ชีวิตหลังสมรสเท่าเทียม…ผลพวงจากการเปิดตัว

เริ่มต้นพูดคุยกับจักรภพและสุไพรพล นับถึงวันนี้ กินระยะเวลากว่า 4 เดือน ที่ทั้งคู่จดทะเบียนสมรส ตามกระบวนการทางกฎหมาย เราถามทั้งสองว่า หลังจดทะเบียนสมรส มีอะไรในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

“อย่างแรกคือ ต้องไปเปลี่ยนบัตรประชาชน รวมทั้งหนังสือเดินทาง และเอกสารต่าง ๆ แต่ถ้าถามเรื่องความรู้สึก เรารู้สึกว่า เรากลายเป็นเพศสภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย” “ ป๊อบ-สุไพรพลตอบ เป็นฝ่ายตอบคำถามก่อน  

“สำหรับผม ไม่มีอะไรต้องปิดอีกแล้ว หมดเรื่องที่จะต้องปิด หมดเรื่องที่ต้องระวังสายตาคนอื่น เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ชอบ ไม่ชอบ หรือถูกวิจารณ์ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีผลต่อตัวเรา เพราะสำหรับตัวเรา ขอแค่ดำรงชีวิตที่มีความสุขระหว่างกัน แล้วทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตัวทะเบียนสมรส มันช่วยตรงนั้น มันทำให้เกิดสถานะที่เป็นกฎหมาย” จักรภพเป็นผู้ตอบคำถามบ้าง

จักรภพ เพ็ญแข

นอกจากความสบายใจ จักรภพยังบอกอีกด้วยว่า เรื่องการทำธุรกรรมร่วมกันในฐานะ “คู่สมรส” ยังมีความชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย

“พอมีสถานะทางกฎหมาย นำมาสู่สิ่งอื่น ๆ ที่เราสามารถทำได้ เราสามารถคิดพัฒนาธุรกิจร่วมกัน รวมไปถึงเรื่องดูแลสุขภาพด้วย เราฝากชีวิตกับเขาไว้ได้ กฎหมายทำให้เรา ‘ฝากชีวิต’ กันได้มากขึ้น”

เราถามกับทั้งคู่ต่อมาว่า พอเปิดตัวเรื่องความรัก ต้องปรับตัว หรือต้องรับมือกับความสนใจของสังคมมากน้อยแค่ไหน 

“คนจำหน้าได้มากขึ้น อย่างเวลาไปเดินห้างสรรพสินค้า คนจะเริ่มจำเราได้ก่อน หรือบางคนเข้ามาทักโดยตรง บางคนบอกว่าชอบเรามากกว่าคุณจักรภพซะอีก (หัวเราะ)” ป๊อบ-สุไพรพล ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“บางคนชอบความเป็นเพศสภาพของเรา แต่ไม่ชอบการเมืองเรา แบบนี้ก็มี แต่ส่วนใหญ่มาแบบสุภาพดีทุกคน” จักรภพช่วยเสริม พร้อมกับขยายต่ออีกว่า การเปิดตัวในความรักของเขา ทำให้มุมมองเรื่องการเมืองที่เคยเข้มข้น มีภาพลักษณ์ที่ผ่อนคลายลงไป

“เมื่อก่อนการเมืองทำให้คนไม่สื่อสารกัน แต่พอมีเรื่องเพศสภาพ กลายเป็นว่าเขามีเรื่องที่จะคุยกับเรา ซึ่งเราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่คนในสังคมต้องคบกันได้หลายเรื่อง แทนที่ทุกอย่างจะเป็นเรื่องการเมืองไปหมด พูดแล้วก็ทะเลาะกัน”

ถามว่าวันนี้บรรยากาศชีวิตเป็นอย่างไร เราเห็นว่าชีวิตน่าอยู่ขึ้น เพราะเราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันไปหมด แต่เราต้องมีความเป็นมิตรภาพที่จะสื่อสารกันได้

สุไพรพล ช่วยชู

สาระสำคัญอีกประการของการเปิดตัวความรักครั้งนี้ ทั้งสองมุ่งหวังให้เป็น “แรงบันดาลใจ” สำหรับผู้ที่มีเพศสภาพหลากหลาย เพื่อให้ “กล้า” ที่จะก้าวออกมาแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างมั่นใจ

“อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่ของเราได้ประโยชน์กับคนอื่น ๆ เพราะส่วนตัวมีความรู้สึกว่า ยังมีคนที่สับสนด้านเพศสภาพอยู่อีกเยอะในสังคมไทย แล้วเป็นมูลเหตุของความไม่มีความสุข บางคนเป็นที่รังเกียจของเพื่อนร่วมงาน หรือว่าเพื่อนร่วมงานต่อต้าน เข้ากับใครไม่ได้ ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมาน”

“อยากให้แต่ละคนค่อย ๆ ปลดเปลื้องภาระตรงนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสำเร็จ เพราะเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวเขา แต่อย่างน้อยเราก็อยากจะบอกว่า มันเป็นไปได้ มันทำได้ ดูตัวอย่างคู่เรา เราอยู่ในการเมือง มีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยด้านการเมือง แต่เรายังทำได้เลย เราเชื่อว่าสังคมใจกว้างพอที่จะแยกแยะอออก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจ เราคิดว่าเมืองไทยยิ่งใหญ่นะ แม้ความเห็นจะไม่ตรงกัน แต่ว่าเรื่องเพศสภาพ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

จักรภพ เพ็ญแข - สุไพรพล ช่วยชู…ย้อนรอย 25 ปี ความรักอันยาวนาน

จุดเริ่มต้นความรักของ จักรภพ และ สุไพรพล ย้อนเวลากลับไปราว 25 ปี ทั้งสองคนพบกันในงานเปิดตัวหนังสือของจักรภพ โดยสุไพรพลเป็นแฟนหนังสือที่ตั้งใจจะมาขอลายเซ็น แต่ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจที่พบหน้ากัน กลับกลายเป็นการสร้างการปฏิสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว

“ใช้เวลาราว ๆ หนึ่งนาทีครึ่ง ตอนที่เจอกัน” จักรภพพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อ “เขาเข้ามาต่อแถวเพื่อให้เซ็นหนังสือ ซึ่งเราก็ก้มหน้าก้มตาเซ็นไปเรื่อย ๆ จนมาถึงคิวของเขา พอเราเงยหน้าขึ้นมอง เรารู้สึกได้เลยว่า เราชอบหน้าตา บุคลิกของคนนี้ แต่ได้พูดคุยกันคำสองคำ ใช้เวลาราว ๆ หนึ่งนาทีครึ่งอย่างที่บอก แต่เรามีความรู้สึกอยากรู้จักเขาอีก”

จักรภพเล่าต่อว่า หลังจากนั้นจึงได้ให้นามบัตรและขอเบอร์โทรศัพท์กันเอาไว้ จากเวลาเพียงหนึ่งนาทีครึ่งที่ได้เจอกันครั้งแรก ได้รับการสานต่อ จนกระทั่งทั้งคู่ตัดสินใจคบหากัน

เราถามทางฝั่งของป๊อบ-สุไพรพลว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ประทับใจในตัวจักรภพ เจ้าตัวบอกว่า ชื่นชอบตรงที่เป็นคนที่มีความรอบรู้ รอบด้าน 

“เวลาที่พี่เอก (จักรภพ) เล่าอะไรสักอย่าง เราจะเห็นภาพชัดเจน และเข้าใจง่าย อีกอย่างคือ ประทับใจในความเป็นผู้ให้ ตอนที่เรามีปัญหาชีวิต หรือว่าปัญหาครอบครัว เราสามารถปรึกษาเขาได้ตลอด”

ที่มาของคำว่า “ที่ปรึกษา” ของสุไพรพล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทั้งคู่มีอายุห่างกัน 13 ปี จักรภพจึงเป็นทั้งคนรัก พี่ และเป็นที่ปรึกษา ไปในคราวเดียวกัน โดยเรื่องนี้ จักรภพอธิบายเพิ่มเติมว่า 

“ด้วยความที่อายุเรานำเขามา 10 ปี เราก็เลยมีเรื่องให้คำปรึกษาได้มากหน่อย ส่วนในมุมของความเป็นผู้ให้ คือผมไม่ใช่สไตล์ sugar daddy ที่ให้เงิน ให้ทอง ซื้อของ ปรนเปรอ ไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น แต่คำว่าให้ของผม คือเราให้ในฐานะเป็นแฟนกัน ให้ตามความหมาะสม เช่น พาไปกินข้าว ไปทำกิจกรรมในฐานะแฟน”

“แต่สิ่งที่ผมประทับใจในตัวป๊อบ คือความอดทนของเขา ตอนที่เริ่มต้นคบกัน ไม่ใช่ว่าจะเริ่มต้นง่าย ๆ เนื่องจากเราเคยมีคนรักมาก่อน แต่เรารู้แล้วว่าไปกันไม่รอด จึงเป็นช่วงที่เรากำลังปลดเปลื้องความสัมพันธ์ตรงนี้ พอดีคาบเกี่ยวที่ป๊อบเข้ามา เพราะฉะนั้น อะไรที่มันคาบเกี่ยว ย่อมมีเรื่องระหองระแหงอยู่บ้าง ซึ่งถ้าหากขาดความอดทน หรือความเชื่อว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นไปได้ เราก็คงมาไม่ถึงจุดนี้”

“อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความประทับใจของผมที่มีต่อเขา คือป๊อบเป็นคนสู้ชีวิต ป๊อบเติบโตมาจากครอบครัวฐานะที่ไม่ดีนัก แต่ต้องชื่นชมคุณย่าของเขา (คุณย่ากลิ้ง ช่วยชู) คือท่านไม่เคยเรียนหนังสือ แต่มีสติปัญญาที่สามารถวางแผนว่าอะไรควร อะไรไม่ควร"

แม้จะจนยากแค่ไหน จะไม่มีคำพูดที่ว่า ห้ามเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้น หลานทุกคน ต้องก้มหน้าก้มตาเรียน แม้อาจจะไม่ได้มีพร้อม หรืออาจจะเรียนช้ากว่าคนอื่นบ้าง แต่ก็สามารถไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน ซึ่งการอบรมสั่งสอนของคุณย่า ทำให้ป๊อบเป็นคนอดทน เป็นคนสู้ ผมว่าคนเรา ต่อให้จะบกพร่องอย่างไร มันไม่สำคัญ สำคัญว่าเขาอยากจะไปข้างหน้า แล้วเรารู้สึกว่าอยากพาเขาไปข้างหน้าด้วยกัน

จักรภพ เพ็ญแข - สุไพรพล ช่วยชู…15 ปี กับเส้นทางความรักที่มีอุปสรรค

แม้จะเป็นความรักที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ แต่เส้นทางความรักของจักรภพและสุไพรพล ไม่ได้เรียบหรูสวยงามไปทั้งหมด กลับกัน ทั้งคู่ต้องเจอกับเส้นทางอันขรุขระ และเจอ “โจทย์ยาก” โดยเฉพาะการที่ต้องห่างเหินกันไปกว่า 15 ปี เพราะปัญหาทางการเมือง

“ตอนที่คุณจักรภพเริ่มเข้าสู่การเมือง ตอนนั้นป๊อปเข้าไปช่วยงานด้วย ไปอยู่หลังเวทีบ้าง ช่วยงานเอกสารบ้าง เวลานั้นเราก็จะรู้เรื่องราวต่าง ๆ เห็นว่าแต่ละครั้งที่ปราศรัย มันเกิดอะไรขึ้น กระทั่งมีการลี้ภัยทางการเมือง ถึงตอนนั้นเริ่มมีความยากลำบากในการเจอกันมากขึ้น” ป๊อบ-สุไพรพลเล่า

จักรภพช่วยเสริมขึ้นบ้าง “ตอนนั้นน่าจะเป็นจุดที่ทั้งสองคนยอมรับว่า สิ่งที่เราต่อสู้ มันใหญ่กว่าตัวเรา เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดอะไรกับตัวเราตอนนั้น เราคิดแค่ว่า ก็แก้มันไป แกมันหน้างานนั่นล่ะ แก้ไปเรื่อย ๆ แต่ถามว่า คิดว่าจะต้องใช้เวลาถึง 15 ปีเลยไหม เราไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น เพราะถ้าบอกว่า 15 ปี อาจจะไม่ไหว ไม่ใช่เขาไม่ไหว เราเองก็ไม่ไหวหมือนกัน”

ป๊อบ-สุไพรพลเล่าต่อว่า ในช่วงที่ห่างกัน เจ้าตัวใช้วิธีการสื่อสารผ่านทางโลกออนไลน์ แต่ยิ่งนานวันเข้า ด้วยความคิดถึง จึงทำให้ต้องหาวิธีในการเดินทางไปพบกับจักรภพจริง ๆ ให้ได้

“ป๊อบเริ่มจัดทริปทัวร์ พอดีว่าในช่วงเวลานั้น มีคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง ต้องการเดินทางไปเยี่ยมคุณจักรภพที่ต่างประเทศ เราเองก็อยากไปเจอคุณจักรภพอยู่แล้ว เมื่อความต้องการมาพ้องกัน เราจึงจัดเป็นทริปทัวร์ไปเลย” ป๊อบเล่า

“ถ้าพูดกันตรง ๆ คือ ไม่ได้มีเงินที่จะเดินทางไปหากันมากมายนัก ถ้าอย่างนั้นจัดทัวร์ไปเลย” จักรภพช่วยเสริมบ้าง “แล้วแทนที่จะเสียเงิน กลับได้เงิน เนื่องจากพอจัดทัวร์บ่อย ๆ เข้า กลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยวขึ้นมา ตอนหลัง ๆ ป๊อบเขายังเอาเงินจากธุรกิจมาแบ่งให้เราด้วย แต่เราบอกว่า เก็บไว้เถอะ เราพอดูแลตัวเองได้ ให้เขาเอาไว้ดูแลตัวเองดีกว่า” 

จักรภพย้อนเล่าเหตุการณ์ต่อว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับป๊อบมากนัก ดังนั้น เวลาที่พบกัน จึงยังต้องวางตัวให้เหมาะสมอยู่

“คือเราก็ไม่รู้ว่า ถ้าเขารู้เรื่องของเราแล้วจะอย่างไร จะชอบ หรือว่าไม่ชอบ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน มันไม่เหมือนกับสมัยนี้ ที่อะไร ๆ เปิดมากกว้างมากขึ้น ดังนั้น เวลาที่เราจะเป็นส่วนตัวกันได้ก็คือ ตอนกลางคืน ตกกลางคืนก็จะแอบมานอนห้องเดียวกัน (ยิ้ม) ถ้าพูดแบบภาษาไทย ๆ คือ มีการลักลอบหากันตอนกลางคืน (หัวเราะ)”

แม้จะเป็นความยาก และต้องใช้ความพยายาม แต่ด้วยความรัก ความคิดถึง ทำให้ทั้งสองคนได้มาพบกันในที่สุด

“ช่วงที่ห่างกัน มันทั้งห่วงกัน แต่ก็ต้องทำใจปลงไปด้วย ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เราพยายามจะทำทุกอย่างให้ปลอดภัย พยายามทำให้ไม่มีปัญหา เพื่อเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน”

เมื่อฟ้าเปิด…ชีวิตที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

มีนาคม 2567 ข่าวใหญ่ที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจ คือการเดินทางกลับสู่ประเทศไทยอีกครั้งของ “จักรภพ เพ็ญแข” หลังการลี้ภัยทางการเมืองนานราว 15 ปี โดยเจ้าตัวประกาศ ขออนุญาตกลับบ้าน และอีกนัยยะหนึ่ง คือการเดินทางกลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการทางยุติธรรม และอีกความสำคัญ คือการได้กลับมาพบหน้า “คนรัก” ที่ห่างกันไปนาน 15 ปี

“เราอยากชดเชยเวลาที่สูญเสียไป จากนี้ไป อยากดูแลกันและกัน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพร่างกาย เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราได้อยู่กับคนที่เรารักได้นานที่สุด โชคดีที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ ทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น และเราไม่เหลือสิ่งใดที่ค้างในใจที่ต้องปิดบังใครอีกแล้ว”

จักรภพเล่าต่อว่า หลังกลับสู่เมืองไทยมาได้ปีเศษ ดูเหมือนสถานการณ์หลาย ๆ อย่างในชีวิตจะลงตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยเรื่องความรักต่อสังคม การจดทะเบียนสมรส รวมไปถึงการแต่งงาน อย่างไรก็ตาม งานด้านการเมือง ยังเป็นสิ่งที่เขามีแพสชันอยู่เสมอ

การเมืองยังมีเสน่ห์สำหรับผม แต่จากประสบการณ์การเมือง ทำให้เราได้บทเรียนว่า ของทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่มีภาวะที่นิ่งตายตัว เรื่องบางอย่าง เราไม่จำเป็นต้องเอาหัวไปชนกำแพง หรือว่าถ้าเห็นกองไฟอยู่ตรงหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าไปหา เราควรเลี่ยงอันตราย เดินเลี้ยวมันไป เพื่อไปทำอะไรดี ๆ อีกมากมายที่อยู่หลังกองไฟ จะดีกว่า

ในฐานะคนรักที่ผ่านอุปสรรคร่วมกันมา ป๊อบ-สุไพรพลบอกว่า ไม่ว่าจักรภพจะเลือกเส้นทางการทำงานแบบใด เจ้าตัวก็พร้อมจะสนับสนุนเสมอ

“ด้วยความสามารถของคุณจักรภพ เราเชื่อว่าเขาสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศและกับประชาชน ซึ่งหากว่าจะกลับมาทำงานการเมือง เราก็มั่นใจว่า เขามีมันสมองที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศได้อีกมาก”

จักรภพเสริมต่อว่า ไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหน สถานะใด เรื่อง “ความเป็นตัวเอง” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“เราไม่สามารถบังคับใครให้ชอบเรา หรือไม่ชอบเราได้ แล้วบางทีมันก็เป็นทางเลือกสำหรับเรานะ ว่าจะเป็นคนที่คนอื่นชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งถ้าอยากให้เป็นที่ชื่นชอบ ง่ายนิดเดียว ก็เอาใจทุกคนสิ อยากได้อะไรก็เอาไปให้เขา แต่ในมุมกลับกัน ถ้าเราเป็นตัวเราเองเมื่อไร เราจะเริ่มรู้ว่า มีใครบ้างที่ไม่ชอบเรา แล้วเรารับได้ไหม ซึ่งในฐานะนักการเมือง เพียงพอไหมที่จะทำให้เรามีกำลังสนับสนุนให้ไปทำในสิ่งต่าง ๆ แค่นั้นเอง”

จักรภพ เพ็ญแข - สุไพรพล ช่วยชู ชีวิตดำเนินต่อไป…บนเส้นทางแห่งความหลากหลาย

หลังกลับสู่ประเทศไทย และเปิดตัวเรื่องความรัก หนึ่งกิจกรรมที่สังคมได้เห็นคู่รัก “จักรภพ & สุไพรพล” คือการไปร่วมในงาน Pride Festival ประจำปี ซึ่งสร้างความสนใจให้กับผู้คนในสังคม กระทั่งถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “ไอคอนแห่งความหลากหลาย” ไปโดยปริยาย 

“เวลาไปร่วมกิจกรรม LGBTQ อย่างไปงานเดินพาเหรด ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เห็นกลุ่ม LGBTQ กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไม LGBTQ ถึงต้องพลัส (+) เพราะ Plus แปลว่า อื่น ๆ หรือแปลว่า ไปยาลน้อย (ฯ) ซึ่งหมายถึง ยังมีอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย” 

“ผมมองว่า กลุ่มเพศสภาพจะมีการรวมตัวกัน และมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 20 ปีก่อน กลุ่มบางกลุ่มอาจจะดูแปลกมาก แต่พอเวลาผ่านไป กลายเป็นเรื่องไม่แปลกในยุคปัจจุบัน"

"เราอาจเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องปลายเปิด เป็น open ended ของกระบวนการเพศสภาพ ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เพิ่มกลุ่มไปเรื่อย ๆ แม้แต่บางกลุ่ม ขนาดเราที่เป็นหนึ่งในเพศสภาพนี้ เรายังต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจเช่นกัน”

จักรภพและสุไพรพล มองเห็นตรงกันว่า เรื่องราวกฎหมายสมรสเท่าเทียม ไม่เป็นเพียงการเข้ามาปลดล็อกทางธุรกรรม แต่ยังสร้างบรรยากาศที่ “เท่าเทียม” ที่ไม่ว่าคนเพศสภาพใด ต่างก็คาดหวังที่จะได้สัมผัสกับสิ่งนี้อย่างแท้จริง

“ที่ผ่านมา เรามักเห็นคนไทย make fun หรือว่าเล่นสนุกกับเรื่องเกย์ เรามักจะได้เห็นเกย์หรือกะเทย เป็นตัวโจ๊กของกลุ่ม ซึ่งคำว่า ตัวโจ๊ก จะมายืนเท่ากันกับคนอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นในหนังในละคร แกเป็นได้แค่เพื่อนนางเอก เพื่อนเจ้าสาว แกเป็นเจ้าสาวไม่ได้หรอก แต่ในวันนี้ เพื่อนนางเอกก็สามารถแต่งงานได้แล้วล่ะ (ยิ้ม)”

ป๊อบ-สุไพรพลบอกต่อว่า ถึงกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียม แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน เนื่องจากในหลายต่อหลายคู่ที่จดทะเบียนสมรสกันไป กลับมีปัญหาตามมาอยู่เช่นกัน

“บางคู่มีปัญหาสภาพเศรษฐกิจ เป็นมนุษย์เงินเดือน มีหนี้มีสิน สร้างตัวไม่ได้ พอสมรสกันไปแล้ว เกิดการหย่าร้าง หรือบางคู่ ครอบครัวไม่ให้การยอมรับ จดทะเบียนไปไม่ถึงเดือน มีอันต้องหย่ากัน ดังนั้น เรื่องสมรสเท่าเทียม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสมหวัง หลังสมรสไป เกิดปัญหาใหม่ตามมา เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราให้ความสนใจอยู่” 

จากเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเหตุให้ทั้งจักรภพและสุไพรพล มีแนวคิดในการเข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าว 

“เราเคยคิดว่าจะทำคลินิกให้คำปรึกษา อาจจะไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นคลินิกหรอก เรียกว่าเป็น Health Group เป็นที่ที่ทุกคนจะเข้ามาใช้บริการได้ จริง ๆ เรื่องปัญหาการสมรส จะปรึกษากับใครก็ได้ มีเยอะแยะ แต่เผอิญว่าเป็นกลุ่ม LGBTQ อาจจะมีความซับซ้อนมากหน่อย ดังนั้น ถ้ามีที่เฉพาะของ LGBTQ อาจจะเป็นการช่วยเหลือกันได้มากขึ้น”

“เรื่องสมรสเท่าเทียมยังเป็นเรื่องใหม่ ต้องเรียนรู้กันและกัน คนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ อาจจะมาช่วยแชร์ประสบการณ์ ยุคนี้มีทั้งเฟซบุก อินสตราแกรม อะไรต่อมิอะไรมากมาย ที่สามารถเล่าเรื่องของตัวเองได้ อย่าไปคิดว่าออกมาแล้วจะถูกหาว่าเป็นการหิวแสง เรามาแชร์เพื่อให้สังคมรู้ว่า ฉันเป็นอย่างนี้ ฉันเป็นอย่างนั้น บางทีการแลกเปลี่ยนกัน มันจะทำให้เกิดทางออกของปัญหา”

อีกหนึ่งเรื่องราวที่ทั้งสองคนอยากให้เกิดขึ้นในสังคม คือการมองเรื่อง “เพศสภาพ” อย่างสร้างสรรค์

มันอาจจะเป็นความฝันของเรานะ คืออยากให้คนในสังคมมองคำว่า เพศสภาพ ให้สูงกว่าคำว่า เพศสัมพันธ์

"บางทีพอมองแค่เรื่องนั้น มันจึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเพศไปหมด เช่น นอนกันอย่างไร เข้าประตูหน้า เข้าประตูหลัง คือเราคิดว่า ถ้าเรื่องเพศสัมพันธ์มันเล็กลง จะทำให้เพศสภาพสร้างสรรค์ขึ้น แล้วถ้าเพศสภาพสร้างสรรค์ขึ้น คนจะมีความสุขขึ้น แล้วหวังว่าคนจะร้ายต่อกันน้อยลง”

23 ปีกับความสัมพันธ์ ที่ผ่านทั้งเรื่องทุกข์ เรื่องสุข ตลอดจนการรอคอยอันยาวนาน ถึงวันนี้ ทั้งสองเชื่อว่า “ความรัก” เป็นสิ่งสวยงามเสมอ

“ความรักที่ดี ควรเป็นความรักที่เสียสละ และมีความอดทนซึ่งกันและกัน” สุไพรพลบอก 

23 ปี อาจยาวนานสำหรับหลายคน แต่หากเป็น “รัก” ที่ตั้งอยู่บนความมั่นคง ความรักย่อมมีความหนักแน่นเสมอ

ขอเพียงเราเชื่อมั่น และมั่นคงกับมันเพียงพอ ความรัก…ย่อมมีอยู่จริง

ความรักอยู่รอบตัวเรา และคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน คือการเข้าใจในความหลากหลาย หากแต่ความแตกต่างหลากหลายเหล่านั้น ต้องนำมาซึ่งความเคารพในกันและกัน สังคมที่เป็นสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง…


ภาพถ่ายบุคคลโดย : สุภณัฐ รัตนธนาประสาน

แท็กที่เกี่ยวข้อง

จักรภพ เพ็ญแขสุไพรพล ช่วยชูจักรภพป๊อบ-สุไพรพลเพศสภาพความหลากหลายทางเพศLGBTQ
สันทัด โพธิสา

ผู้เขียน: สันทัด โพธิสา

เจ้าหน้าที่เนื้อหาออนไลน์อาวุโส Thai PBS สนใจความเคลื่อนไหวของสังคม ผู้คน และเทรนด์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และรวมถึงเป็นสมาชิกทาสแมวมายาวนาน

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด