รู้จัก 7 เทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในปี 2569 จากการเปิดเผยของ “ไมโครซอฟท์” (Microsoft) โดย AI ในปีหน้าจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่มุ่งสร้างผลลัพธ์จริงในโลกธุรกิจและชีวิตประจำวัน โดยจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเครื่องมือไปสู่การเป็น “คู่คิด” ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิด ยกระดับขีดความสามารถในการทำงาน การสร้างสรรค์ และการแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด
ยกระดับจากการตอบคำถามไปสู่การผสานการทำงานและเสริมแกร่งศักยภาพให้กับทุกคน ในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงควอนตัมคอมพิวติง (Quantum Computing) ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าครั้งสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีมา ยิ่งไปกว่านั้น AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพยากรณ์สภาพอากาศและเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ ซึ่งล้วนเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
7 เทรนด์ที่จะพลิกโฉมโลกการทำงานระหว่างมนุษย์และ AI ได้แก่

1. AI จะเสริมสร้างสิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น
AI Agent จะเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานดิจิทัลที่ช่วยเสริมศักยภาพ ช่วยให้บุคคลและทีมขนาดเล็กสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเหนือความคาดหมาย โดย AI จะเข้ามาช่วยจัดการข้อมูล การสร้างคอนเทนต์ และปรับแต่งให้เหมาะสม ขณะที่มนุษย์ยังคงเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์

2. AI Agent จะมาพร้อมมาตรฐานการป้องกันใหม่เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน
การเพิ่มขึ้นของ AI Agent ในบทบาทของ “เพื่อนรวมทีม” ทำให้ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากยิ่งขึ้น ทั้งการกำหนดตัวตนที่ชัดเจนของ AI Agent การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและระบบ การจัดการข้อมูลที่สร้างขึ้น และการป้องกันการโจมตี เรียกได้ว่าทุก AI Agent ควรมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยเช่นเดียวกับมนุษย์ โดยความปลอดภัยจะต้องเป็นระบบอัตโนมัติที่ฝังอยู่ในกระบวนการ และทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาภายหลัง

3. AI จะช่วยลดช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลก
AI ในวงการแพทย์จะเปลี่ยนบทบาทจากการวินิจฉัยไปสู่การคัดกรองอาการและการวางแผนการรักษาเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น BioEmu-1 ที่ช่วยคาดการณ์ความเสถียรของโปรตีนเพื่อพัฒนายาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือ RAD-DINO ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ ทำให้แพทย์ได้รับข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้นภายในเวลาอันสั้น และ FCDD ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ช่วยปรับปรุงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น ช่วยลดอัตราการแจ้งผลลวงและเพิ่มความแม่นยำในการระบุตำแหน่งเนื้องอก

4. AI จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการวิจัย
นอกจาก AI จะช่วยสรุปงานวิจัยหรือตอบคำถาม ยังจะสามารถเข้าร่วมในกระบวนการค้นพบทางฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยาได้อีกด้วย โดยจะมีประสิทธิภาพในการสร้างสมมติฐาน การใช้งานเครื่องมือและแอปพลิเคชันเพื่อควบคุมการทดลอง ตลอดจนทำงานร่วมกับนักวิจัยทั้งที่เป็นมนุษย์และ AI ด้วยกันเอง ตัวอย่างเช่น MatterGen และ MatterSim ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI ที่ช่วยเร่งการค้นพบวัสดุใหม่ ๆ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าเดิมหลายเท่า รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุสำหรับการดักจับคาร์บอน หรือแบตเตอรีประสิทธิภาพสูงสำหรับพลังงานสะอาด หรือ Aurora โมเดล AI ของไมโครซอฟท์ที่คาดการณ์สภาพอากาศและเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพยากรณ์น้ำท่วม และการช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

5. โครงสร้างพื้นฐาน AI จะชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเติบโตของ AI จะไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนของ Data Center อีกต่อไป แต่จะเน้นการใช้พลังประมวลผลให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยระบบ AI ที่มีความยืดหยุ่นและกระจายตัวทั่วโลก ที่เรียกว่าโรงงานผลิต AI อัจฉริยะ หรือ “superfactories” ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Analog Optical Computer (AOC) ซึ่งใช้แสงแทนอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเร่งการใช้เหตุผลของ AI และการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้วยพลังงานที่น้อยกว่าและรวดเร็วกว่า GPU ในปัจจุบัน

6. AI กำลังเรียนรู้ภาษาของโค้ดและบริบทเบื้องหลัง
ปี 2569 จะนำมาซึ่ง “Repository Intelligence” ซึ่งหมายถึง AI ที่ไม่เพียงเข้าใจบรรทัดของโค้ด แต่ยังเข้าใจความสัมพันธ์และประวัติเบื้องหลัง จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างชาญฉลาด ตรวจจับข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาที่พบเป็นประจำได้โดยอัตโนมัติ

7. ความก้าวหน้าในการประมวลผล
“ควอนตัมคอมพิวติง (Quantum Computing) กำลังเข้าสู่ยุคที่การพัฒนาจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่ปีแทนที่จะเป็นหลายทศวรรษ สืบเนื่องจากการมาถึงของ Hybrid Computing ที่ผสานควอนตัมเข้ากับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะนำไปสู่ “Quantum Advantage” หรือความสามารถในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกทำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Majorana 1 ของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นชิปควอนตัมตัวแรกที่ขับเคลื่อนด้วย Topological Qubits ซึ่งช่วยให้คิวบิตมีความเสถียรมากกว่าคิวบิตแบบดั้งเดิม

สรุปส่งท้าย นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวว่า ในปี 2569 เราจะเห็น AI เข้ามามีบทบาทจริงในการปลดล็อกข้อจำกัดและสร้างโอกาสใหม่ ๆ อย่างมหาศาล เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ หนึ่งในเรื่องที่สำคัญคือความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ เราได้พัฒนา Aurora หนึ่งในนวัตกรรม AI ที่ช่วยยกระดับการพยากรณ์อากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงโมเดลตรวจจับน้ำท่วมโดยใช้ภาพเรดาร์จากดาวเทียมสำรวจโลกที่สามารถทะลุผ่านเมฆและทำงานได้แม้ในเวลากลางคืน ช่วยให้นักวิจัยสามารถทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสำคัญต่อการรับมือปัญหาน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การติดตามและตอบสนองต่อภัยพิบัติจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเกษตรกร ปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน และลดผลกระทบต่อชุมชน
รวมถึงการพัฒนา AI เพื่อความยั่งยืน โครงการ MatterGen และ MatterSim เพื่อค้นพบวัสดุใหม่ๆ สำหรับการดักจับคาร์บอนและพลังงานสะอาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เป็นประโยชน์กับทุกคนได้อย่างแท้จริง
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : microsoft
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech




















