Secret Story | When We Play เมื่อการเล่นมิใช่แค่การเล่น แต่คือการสัมผัสชีวิต


Lifestyle

27 ต.ค. 66

ธิดา ผลิตผลการพิมพ์

Logo Thai PBS
Secret Story | When We Play เมื่อการเล่นมิใช่แค่การเล่น แต่คือการสัมผัสชีวิต

“มรดกของเมือง ไม่ใช่สถาปัตยกรรมใหญ่โตอลังการ แต่คือสนามเด็กเล่น” 
...ต้องเป็นสังคมหรือประเทศแบบใดกันนะ ? จึงจะกล่าวปรัชญาแห่งความเป็นเมืองได้แบบนี้ ?

ใน ‘ความทรงจำกับการเล่น’ ซึ่งเป็นตอนแรกของสารคดี 5 ตอนจบ เรื่อง When We Play พาเราไปสำรวจความคิดน่าสนใจเบื้องหลังพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีชื่อเรียกว่า ‘สนามเด็กเล่น’ ในเมืองใหญ่ของ 4 ประเทศเศรษฐกิจแห่งเอเชียคือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ผ่านเรื่องราวของเครื่องเล่นและผู้คนหลากหลายกลุ่ม เพื่อบอกว่าในระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สังคมของพวกเขาเหล่านี้ให้ความหมายของเด็ก การเล่น การพัฒนา การออกแบบ และอนาคตอย่างไรบ้าง ?

เราได้เห็นเรื่องของ อี้ชิวหลิง บล็อกเกอร์หญิงชาวไต้หวันที่ผูกพันกับ ‘กระดานลื่นช้าง’ เครื่องเล่นสุดคลาสสิกจากยุค 1960 ที่เธอและสามีคุ้นเคยมาตั้งแต่วัยอนุบาล จนเกิดแรงบันดาลใจออกเดินทางตามหาว่ามันยังหลงเหลืออยู่ที่ใดอีกบ้าง ฟังเผิน ๆ เหมือนเป็นอาการโหยหาวัยเยาว์ที่เคยหอมหวาน แต่การเดินทางของเธอค่อย ๆ อธิบายให้เราเข้าใจว่าการมีอยู่ของช้างตัวนี้ บนสนามเด็กเล่นของโรงเรียนทั้งหลายมีความหมายมากกว่านั้น เพราะนอกจากความสวยงามและมีกลิ่นอายย้อนยุคจะทำให้มันมีเอกลักษณ์เปี่ยมชีวิตชีวาแตกต่างจากเครื่องเล่นสำเร็จรูป ในปัจจุบันแล้ว การตั้งอยู่อย่างโดดเด่นคงทนผ่านกาลเวลายังทำให้มันเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ เชื่อมโยงความรู้สึกจากผู้คนต่างรุ่นสู่กันและกันได้อย่างอบอุ่นน่ารัก

“แต่ละโรงเรียนควรออกแบบสนามเด็กเล่นให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง” อี้ชิวหลิงพูดถึงเจ้าช้างตัวนี้ “เพราะมันคือวิธีส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ศึกษาความงามอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการศึกษาความงามที่เป็นจริงจากของธรรมดา ๆ จับต้องได้ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในตำรา มันจะนำความสมบูรณ์และความตื่นเต้นเข้ามาในชีวิตของเด็ก ๆ และเติมสีสันให้แก่ความทรงจำของพวกเขา"

ในสิงคโปร์ - ซึ่งเป็นตอนที่ผู้เขียนตื่นเต้นเป็นพิเศษ – เราได้เห็นสนามเด็กเล่นระดับตำนานจากยุคทศวรรษ 1970 ที่ Khor Ean Ghee (ศิลปินสีน้ำผู้โด่งดังและนักออกแบบของ Housing & Development Board หรือ HDB คณะกรรมการพัฒนาและที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์) จำลอง ‘มังกร’ มาเป็นเครื่องเล่นปีนป่ายไหลลื่น ประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีสดใสที่ดูแลรักษาง่ายและทนทานต่อแดดฝน ความสวยน่าตะลึงของมังกรตัวนี้ทำให้เราเข้าใจได้ชัดทันทีว่าเพราะอะไรสนามเด็กเล่นจึงไม่ใช่แค่ที่สำหรับเล่น แต่มันยังสามารถเป็นพื้นที่ติดตั้งงานประติมากรรมที่ ‘ทำงาน’ กับทั้งสายตาและจินตนาการของเด็กและผู้ใหญ่ เครื่องเล่นที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตด้วยวัสดุของยุคสมัยทำให้มันมีคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ พร้อม ๆ กับที่ก็ดึงดูดผู้คนให้ทั้งอยากใช้งานและดูแลอนุรักษ์มันไปด้วย

เครื่องเล่นสำเร็จรูปที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่พักอาศัยของ Housing & Development Board ในสิงคโปร์ | ภาพจากเว็บไซต์ https://playpoint.asia

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่งนับจากปลายทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เครื่องเล่นเหล่านี้จำนวนมากถูกรื้อทิ้งทำลายหรือไม่ก็ถูกลดความสำคัญลง เนื่องจากเกิดความตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยของเด็กและมีการกำหนดมาตรฐานการออกแบบสนามเด็กเล่นขึ้น วัสดุที่ทำให้เกิดอันตรายเช่น พื้นปูน กระเบื้อง โลหะ ถูกแทนที่ด้วยวัสดุปลอดภัยชนิดใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นการพัฒนาที่ควรเป็น แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้เกิดการนำเข้าเครื่องเล่นพลาสติกสำเร็จรูปขนาดใหญ่ที่นอกจากจะ ‘หน้าตาเหมือน ๆ กันไปหมด’ แล้ว ยังออกแบบด้วยแนวคิดในการ ‘กำหนดวิธีเล่น’ ให้เด็ก ๆ ต้องวิ่ง ปีน ลื่น เป็นลำดับขั้นตอนซ้ำ ๆ โดยแทบไม่เปิดช่องว่างให้แก่การใช้จินตนาการค้นหาความสนุกในการเล่นด้วยตัวเองมากนัก

ปัญหาที่ตามมาคือ การที่มีเครื่องเล่นเด็กผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยผุดขึ้นมากมายในหลายพื้นที่ ...แต่กลับไม่มีใครอยากเล่น

สนามเด็กเล่นที่ออกแบบโดย Playpoint | ภาพจากเว็บไซต์ https://playpoint.asia/

สนามเด็กเล่นที่ออกแบบโดย Playpoint | ภาพจากเว็บไซต์ https://playpoint.asia/

นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบสนามเด็กเล่นยุคใหม่ในสิงคโปร์ ที่หันกลับมาสนใจการสร้างธีมเฉพาะสำหรับแต่ละท้องถิ่นอีกครั้ง หนึ่งในบริษัทเอกชนที่พัฒนางานด้านนี้จริงจังต่อเนื่องคือ บริษัท Playpoint ที่เน้นการออกแบบเพื่อกระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของเด็ก ๆ ด้วยเครื่องเล่นที่สวยงาม ท้าทายจินตนาการ และที่สำคัญคือมีเรื่องราวรองรับแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสนามเด็กเล่นที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพนิยาย หรือการนำวัสดุและธรรมชาติในพื้นที่มาใช้เป็นจุดเริ่มต้นของไอเดีย เช่น เรือ แมงกะพรุน สาหร่ายทะเล 

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการออกแบบสนามเด็กเล่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนสามารถดึงดูดเด็กกับครอบครัวให้เข้าไปใช้งาน แถมยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมกันหนาแน่นได้ด้วยเช่นนี้ จะกลายมาเป็นธุรกิจใหญ่มูลค่ามหาศาลของสิงคโปร์ในปัจจุบัน และทำให้ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนสนามเด็กเล่นหนาแน่นที่สุดในโลก

"คุณค่าของเมือง อยู่ตรงที่ว่าเมืองนั้นสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก ๆ เล่นได้มากแค่ไหน"

นี่เป็นคำกล่าวของ อิซามุ โนกุจิ ศิลปินและนักออกแบบชาวญี่ปุ่นซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเจ้าของปรัชญาการทำสนามเด็กเล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่ง

โนกุจิเกิดเมื่อปี 1904 ในครอบครัวที่มีแม่เป็นคนอเมริกัน พ่อเป็นกวีชาวญี่ปุ่น วัยเด็กของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบากและการผจญภัย การใช้ชีวิตกลางธรรมชาติป่าเขาและการอ่านหนังสือเทพนิยายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญเมื่อเขาเติบโตขึ้นเป็นประติมากร ตลอดชีวิตการทำงานโนกุจิใฝ่ฝันอยากสร้างสวนเด็กเล่นแบบใหม่ทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งแม้ท้ายที่สุดจะทำสำเร็จจริงได้เพียงสองแห่ง คือที่เพลย์สเคปในแอตแลนตา และที่สวนสาธารณะโมเอะเรนุมะในซัปโปโร แต่ทั้งสองสวนนี้ก็เป็นที่ยกย่องและสะท้อนปรัชญาการออกแบบภูมิทัศน์ของเขาได้อย่างลึกซึ้ง

ภาพดรออิงงานออกแบบเครื่องเล่นสนามโดย อิซามุ โนกุจิ ปี 1966-1976

สำหรับโนกุจิแล้ว เครื่องเล่นควรเป็นอะไรที่มีรูปทรงพื้นฐานเรียบง่าย ขณะเดียวกันก็ลึกลับเร้าใจ สนามเด็กเล่นของเขาไม่ได้มีหน้าที่สอนสั่งว่าเด็กต้องเล่นอะไร แต่มันคือพื้นที่ให้สำรวจได้อย่างไม่รู้จบ หรือดังที่ ดากิน ฮาร์ต ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์โนกุจิอธิบายไว้ว่า “โนกุจิเชื่อว่าสนามเด็กเล่นต้องไม่ถูกออกแบบให้เป็นเหมือนค่ายฝึกทหารที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายซึ่งถูกจัดวางอย่างตื้นเขิน แต่เด็ก ๆ ควรได้สัมผัสสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับที่ "มนุษย์เริ่มเรียนรู้โลกเป็นครั้งแรก”

สวนและสนามเด็กเล่นโมเอะเรนุมะในซัปโปโรเป็นผลงานออกแบบชิ้นสุดท้ายในชีวิตของโนกุจิ พื้นที่ 400 เอเคอร์แห่งนี้เป็นที่ที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เครื่องเล่นแต่ละชิ้นสวยงามมีความเป็นงานประติมากรรมในตัวของมันเอง นอกจากนั้นยังรายล้อมด้วยป่าซากุระซึ่งเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เล่นท่ามกลางธรรมชาติ ฮาร์ตพูดถึงแนวคิดนี้ของโนกุจิไว้ว่า “ต้นไม้ ทะเลสาบ และภูเขา ไม่เคยสอนเราว่าควรเล่นอย่างไร เพราะมนุษย์สามารถค้นพบหนทางมากมายในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับโลก” 

สวนและสนามเด็กเล่นโมเอะเรนุมะ ซัปโปโร

ความยาว 47 นาทีของตอนแรกของ When We Play สื่อสารกับผู้ชมว่า สนามเด็กเล่นมีความหมายและบทบาทลึกซึ้งในหลายมิติ นอกเหนือจากการเป็นสถานที่สร้างพลัง จินตนาการ สุนทรียะ ทักษะ ความรู้แก่เด็ก ๆ และส่งต่อความผูกพันจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว การมีอยู่ของสนามเด็กเล่นในสังคมหนึ่ง ๆ ยังสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า ผู้คนในสังคมนั้นให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์ด้วยกันมากน้อยแค่ไหน เรามีความหวังความฝันต่อสังคมของเราและต่ออนาคตของคนรุ่นถัดไปอย่างไร

“เมื่อพูดถึงสังคมเมืองปัจจุบัน เรามักพูดว่ามันเป็นสังคมผู้สูงอายุ และมีประชากรเด็กน้อยลง” เคธี หว่อง รองประธาน International Play Association ในฮ่องกงกล่าวไว้ในฉากหนึ่ง “แต่เราต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าเด็กเหล่านั้นจะมีกี่เปอร์เซ็นต์ พวกเขาก็คืออนาคตร้อยเปอร์เซ็นต์ของเรา”

เมื่อการเล่นมิใช่แค่การเล่น แต่คือการสัมผัสชีวิต
เมื่อสนามเด็กเล่นมิใช่แค่ที่เล่น แต่คือพื้นที่สร้างอนาคต
ติดตามสารคดี When We Play ได้ทาง www.VIPA.me และ VIPA Application

▶คลิกเพื่อรับชม : https://watch.vipa.me/sYhFbbVveEb

“ Secret Story ” คือคอลัมน์น้องใหม่จาก VIPA ที่มาพร้อมเรื่องราวเจาะลึก มุมมองในมิติที่คุณอาจไม่เคยรู้ ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของผลงานสารคดีคุณภาพ ที่เราไม่อยากให้คุณพลาดใน www.VIPA.me 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

Secret StoryVIPAdotMeสารคดี VIPAเด็กและเยาวชนครอบครัวPlaygroundสารคดี When We Playสนามเด็กเล่นสิงคโปร์ฮ่องกงญี่ปุ่นไต้หวันVIPAพื้นที่และการออกแบบเด็กและครอบครัว
ธิดา ผลิตผลการพิมพ์
ผู้เขียน: ธิดา ผลิตผลการพิมพ์

ผู้ก่อตั้ง Documentary Club คลับของคนรักสารคดี และหนังนอกกระแส

บทความ NOW แนะนำ