หลังจากยาน Peregrine ในภารกิจแรกของโครงการ CLPS ตกกลับมายังชั้นบรรยากาศของโลกเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2024 อะไรทำให้ภารกิจของยาน Peregrine ล้มเหลว แล้วอะไรคือเหตุผลทำให้ภารกิจการไปดวงจันทร์ในทศวรรษที่ 2020 ถึงเต็มไปด้วยความท้าทายเมื่อเทียบกับการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์เมื่อ 50 ปีก่อน
NASA ได้สรุปภารกิจของยาน Peregrine ในภารกิจ CLPS-1 ว่าภารกิจได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากการได้เดินทางอยู่ภายนอกอวกาศนาน 10 วัน 13 ชั่วโมง ยาน Peregrine ของ Astrobotic ได้ตกกลับมายังชั้นบรรยากาศของโลกและลุกไหม้เหนือน่านน้ำเปิดของมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2024 ตามเวลาในประเทศไทย ทำให้เกิดข้อสงสัย เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาไปมาก แต่ทำไมการไปดวงจันทร์ในปี 2024 ของ NASA ถึงดูเต็มไปด้วยความท้าทายและล้มเหลวมากกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนในภารกิจการไปเหยียบดวงจันทร์ของมนุษย์
โครงการ Commercial Lunar Payload Service เป็นโครงการที่ NASA ว่าจ้างบริษัทเอกชนในการให้บริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของทั้งตัว NASA เอง รวมถึงบริษัทเอกชนและองค์กรรัฐรายอื่น ๆ
Astrobotic เป็นบริษัทผู้ว่าจ้างรายแรกที่ได้ริเริ่มปฏิบัติภารกิจขนส่งสัมภาระบรรทุกไปลงจอดบนดวงจันทร์ภายใต้ชื่อภารกิจ CLPS-1 โดยอาศัยยาน Peregrine ซึ่งเป็นยานอวกาศที่จะปฏิบัติภารกิจการขนส่งสัมภาระไปลงจอดบนดวงจันทร์ ได้เดินทางออกจากโลกด้วยจรวดรุ่นใหม่ Vulcan Centaur ของ ULA ในวันที่ 8 มกราคม 2024 โดยจรวด Vulcan Centaur สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในการปฏิบัติงานครั้งแรก แต่ตัวยาน Peregrine กลับประสบปัญหาจนไม่สามารถลงจอดบนดวงจันทร์ตามแผนได้
ปัญหาของยาน Peregrine ในครั้งนี้ ทางบริษัท Astrobiotic ได้ตั้งสมมติฐานว่าอาจเกิดจากวาล์วปรับแรงดันเชื้อเพลิงทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ตัวถังเชื้อเพลิงบนยาน Peregrine ฉีกขาด เชื้อเพลิงจึงรั่วไหลออกจากยานและสูญเสียการควบคุมในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้ยาน Peregrine มีเชื้อเพลิงคงเหลือไม่มากพอสำหรับการลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังจากการวิเคราะห์ปัญหาทาง NASA ได้ให้คำแนะนำกับทาง Astrobiotic คือการตัดสินใจควบคุมวิถีโคจรของยานอวกาศให้ตกกลับมาเผาไหม้ภายในชั้นบรรยากาศของโลก เป็นการรับรองว่ายานอวกาศจะถูกกำจัดอย่างมีความรับผิดชอบ ปกป้องยานอวกาศลำอื่นที่อยู่ภายในวงโคจรและดวงจันทร์ให้ปลอดภัย
ด้วยเหตุนี้ สัมภาระจากหน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ ทั้ง 90 กิโลกรัมที่ถูกติดตั้งขึ้นไปบนยาน Peregrine จะถูกทำลายภายในชั้นบรรยากาศด้วย ซึ่งถึงแม้เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สัมภาระทั้งหมดนั้นจะไม่ได้ปฏิบัติงานจริงบนดวงจันทร์ แต่ทาง NASA และหน่วยงานอวกาศอื่น ๆ ได้ถือโอกาสนี้เปิดอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ทั้งหมดเพื่อเป็นการวัดค่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ภายในอวกาศจริง ณ จุดที่อยู่ไกลโลกในเส้นทางวงโคจรเข้าสู่ดวงจันทร์ของยาน Peregrine ทั้งการวัดค่ารังสีภายในอวกาศและการตรวจสอบพฤติกรรมของอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ภายใต้สภาวะจริงภายในอวกาศ โดยในช่วงเวลาระหว่างที่ยานกำลังเดินทางกลับมายังโลกทางบริษัทจะพยายามควบคุมยานให้ได้รับแสงอาทิตย์ที่มากพอที่จะรักษาระดับพลังงานของยานให้มากเพียงพอที่อุปกรณ์ต่าง ๆ จะสามารถทำงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
คำถามที่ตามมาคือเหตุใดภารกิจการไปลงจอดบนดวงจันทร์ของหน่วยงานต่าง ๆ ในทศวรรษที่ 2020 กลับมีภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและล้มเหลวเมื่อเทียบกับภารกิจการไปเหยียบดวงจันทร์ของมนุษย์เมื่อ 50 ปีก่อนที่เต็มไปด้วยความไม่พร้อมทางเทคโนโลยีเมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้
หากพูดถึงโครงการอพอลโลเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว โครงการ CLPS ของ NASA และโครงการการกลับไปเยือนดวงจันทร์ของหน่วยงานอื่น ๆ นั้นแตกต่างกันมาก โครงการอพอลโลมีเป้าหมายเดียวคือการส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์และกลับมายังโลกโดยปลอดภัย แต่สำหรับโครงการ CLPS นั้นแตกต่างออกไป โครงการนี้มีเป้าหมายในการสร้างภารกิจการเดินทางไปยังดวงจันทร์ด้วยงบประมาณที่ประหยัดและคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งทำให้ NASA ร่วมงานทางภาคของเอกชนเพื่อศึกษาวิธีลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งการดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนในโครงการนี้ นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนแล้ว ทางสหรัฐฯ เองยังมองเห็นประโยชน์ถึงการเพิ่มองค์ความรู้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นการวางฐานรากให้เกิดระบบธุรกิจพื้นฐานสำหรับงานด้านอวกาศและดวงจันทร์ต่อไป ทำให้อนาคตเกิดธุรกิจใหม่ ๆ เกี่ยวกับดวงจันทร์มากยิ่งขึ้น
การไปดวงจันทร์ในอดีตเมื่อ 50 ปีก่อนและในทุกวันนี้ยังคงประสบปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือ ความยากลำบากของการเดินทางไปดวงจันทร์ เมื่อ 50 ปีก่อนหน้า โครงการดำเนินไปอย่างยากลำบาก แต่ด้วยงบประมาณที่ถูกอัดฉีดโดยรัฐบาลนั้นทำให้โครงการสามารถดำเนินต่อไปได้โดยประสบความสำเร็จ แต่สำหรับตอนนี้โครงการ CLPS นั้นเป็นโครงการที่เอกชนเข้ามาร่วมออกทุนเพื่อหาโอกาสใหม่ในการดำเนินธุรกิจบนดวงจันทร์ ปัญหาคือการหาทุน ทรัพยากรบุคคล และองค์ความรู้ ซึ่งการดำเนินงานโดยเอกชนทั้งหมดนั้นยาก อีกทั้งโจทย์ของ NASA คือการดำเนินงานโดยคุ้มค่าที่สุดเพื่อทำให้เกิดการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นยิ่งเป็นโจทย์ที่ยากเมื่อเทียบกับอดีต
เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทเอกชนเหล่านี้ต้องดำเนินงานให้สำเร็จ โดยที่สามารถบรรทุกสัมภาระไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าแก่การลงทุนมากที่สุด ซึ่งเมื่อเทียบกับโครงการอพอลโลเมื่อ 50 ปีก่อนที่ไม่ได้มีสิ่งนี้เป็นอีกโจทย์สำคัญ การดำเนินงานของโครงการอพอลโลในยุคนั้นอาจจะเป็นโจทย์ที่ง่ายกว่าโจทย์ของ CLPS ที่ NASA ต้องการในปัจจุบันเสียอีก
ถึงกระนั้นยาน Peregrine ที่ไม่สามารถไปถึงดวงจันทร์ได้ก็นับเป็นอีกบทเรียนสำคัญแก่วงการอวกาศของทั่วโลก ถึงแม้จะไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่อุปกรณ์ที่บรรทุกขึ้นไปจากหน่วยงานต่าง ๆ ก็ได้รับองค์ความรู้จากข้อมูลที่ได้ระหว่างที่ยานเดินทางอยู่ภายนอกอวกาศและทำให้สามารถนำข้อมูลที่ได้นำมาพัฒนาอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ดีขึ้นและคุ้มค่ามากขึ้น และรวมไปถึงทางบริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่จะมีการขับเขี้ยวกันมากขึ้นเพื่อเป็นบริษัทเอกชนที่จะสามารถส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จเป็นรายแรก และเปิดศักราชใหม่แห่งการสำรวจอวกาศที่มีบริษัทเอกชนเข้ามาร่วมสำรวจด้วย เพื่อสร้างรากฐานธุรกิจการขนส่งอวกาศที่ยั่งยืน
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
ที่มา : NASA