สถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทย - กัมพูชายังคงเอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้นกันไปแล้ว แต่การปะทะยังคงเกิดขึ้นอย่างประปรายตามแนวตะเข็บชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ แสดงให้เห็นว่าทางออกของปัญหายังคงมีความไม่ชัดเจน ประชาชนอย่างเรา ๆ ก็ได้แต่หวังว่าความสงบจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
สิ่งที่เกิดขึ้นชวนให้เรามองย้อนกลับไปในอดีต ผ่านการทำความเข้าใจบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและกรณีพิพาท ซึ่งต้นตอของปัญหามักจะเกิดจากเรื่องเขตแดน พื้นที่เล็ก ๆ บริเวณตะเข็บชายแดนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการอ้างสิทธิว่าเป็นพื้นที่ของตนเอง Thai PBS ชวนผู้อ่านทำความเข้าใจข้อพิพาทที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพื่อมองภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทย - กัมพูชา ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะอะไรความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ถึงได้เป็นไม้เบื่อไม้เมามาจนถึงทุกวันนี้

การปักหมุนเขตแดนในยุคล่าอาณานิคมของไทย-กัมพูชา
ส่วนหนึ่งของปัญหาทั้งหมดที่ถูกส่งต่อมาถึงกรณีพิพาทไทย-กัมพูชาในปัจจุบันก็คือ การกำหนดเส้นพรมแดนในยุคล่าอาณานิคมที่ไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ สืบเนื่องมาจากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสได้สถาปนา "สหภาพอินโดจีน" (Indochinese Union) กลุ่มประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเวียดนาม กัมพูชา และลาว ฝรั่งเศสในยุคนั้นมีความต้องการที่จะรวบรวมดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมดมาอยู่ภายใต้อาณัติของตน จึงได้พยายามเข้ามากดดันไทยด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งทางการทหาร เศรษฐกิจ และการทูต ท้ายที่สุดแล้วไทยก็ต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมแลกกับการที่ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากจันทบุรีและตราด ทำข้อตกลงที่ส่งผลให้ต้องสูญเสียดินแดนที่เคยอยู่ในอาณัติ เช่น พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้ผนวกเข้ากับกัมพูชา
ปัญหาที่ตามมาก็คือ การปักเขตแดนในยุคนั้นไม่ได้คำนึงถึงหลักภูมิศาสตร์ เป็นการปักเขตแดนที่จัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว เช่น การขีดเส้นให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในฝั่งกัมพูชา ซึ่งขัดกับหลักสันปันน้ำสากล, หลักเขตหลักที่ 72 ที่หายไปทำให้การแบ่งพื้นที่ไม่ชัดเจน รวมไปถึงการปักเขตพื้นที่เฉพาะทางบกไม่ได้ปักทางทะเล ซึ่งล้วนแล้วแต่กลายเป็นชนวนเหตุของข้อพิพาทของไทย-กัมพูชา ในเวลาต่อมา
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารของไทย-กัมพูชา
ในปี พ.ศ. 2496 หลังกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสโดยสมบูรณ์ ก็ได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารที่ตั้งอยู่บนหน้าผาบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งตามหลักสากลของการปักเขตแดน (หลักสันปันน้ำ) ตัวปราสาทจะอยู่ในฝั่งไทย แต่ถึงอย่างไรก็ตามแผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสตามผลของสนธิสัญญาปี พ.ศ 2450 ยึดตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งขีดเส้นเขตแดนให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตของกัมพูชา ทำให้เกิดความขัดแย้งการถือสิทธิครอบครองระหว่างไทย – กัมพูชา ท้ายที่สุดกัมพูชาได้ยื่นฟ้องประเทศไทยต่อศาลโลกในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งผลการตัดสินของศาลโลกได้กำหนดให้ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา โดยได้ให้เหตุผลว่าการที่ฝ่ายไทยไม่เคยโต้แย้งคัดค้านแผนที่ฉบับดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ถือเป็นการยอมรับเส้นเขตแดนตามแผนที่นั้นไปโดยพฤตินัย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 กัมพูชาได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ทำให้เกิดความไม่พอใจจากฝ่ายไทย ประกอบกับปัญหาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบตัวปราสาทที่ต่างอ้างกรรมสิทธิ์ด้วยกันทั้งคู่ เพราะยังไม่มีความชัดเจนจากคำพิพากษาเดิม ทำให้เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันด้วยกำลังทหารตามแนวชายแดนหลายครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ท้ายที่สุดกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกอีกครั้ง ซึ่งศาลโลกได้มีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ ให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร และแนะนำให้ไทย-กัมพูชา ร่วมกันบริหารจัดการพื้นที่ แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดน และไม่ได้ตัดสินเรื่องพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรแต่อย่างใด
กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในยุคเขมรแดง
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในยุคเขมรแดงไม่ได้เกิดจากปัญหาเรื่องเขตแดนโดยตรงเหมือนในกรณีอื่นๆ แต่มีสาเหตุหลักมาจากอุดมการณ์สุดโต่งของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือที่เรารู้จักในชื่อเขมรแดง ได้เข้ายึดกรุงพนมเปญได้ในปี พ.ศ. 2518 ภายใต้การนำของ พล พต ผู้นำเขมรแดง ที่มีนโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กวาดล้างการปกครองในระบอบเก่า ทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิตไปราว 2,000,000 คน ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ลุกลามข้ามพรมแดนมายังประเทศไทยสืบเนื่องมาจากอุดมการณ์ชาตินิยมของเขมรแดงที่มองว่าดินแดนบางส่วนของไทยเคยเป็นของกัมพูชา จนทำให้กองกำลังเขมรแดงมักจะล่วงล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยเพื่อก่อเหตุสร้างสถานการณ์
โดยเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญคนไทยมากที่สุดครั้งหนึ่งก็คือ กองกำลังเขมรแดงบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านน้อยป่าไร่ บ้านกกค้อ และบ้านหนองดอ ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2520 ส่งผลให้ชาวบ้านถูกสังหารกว่า 30 คน ไม่เว้นแม้กระทั้ง คนแก่ และเด็ก เหตุการณ์นี้สร้างความโกรธแค้นและนำไปสู่ผลจากการปะทะกันระหว่างกองทัพไทยและกับกองกำลังเขมรแดงเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของคนไทย
ท้ายที่สุดแม้ระบอบเขมรแดงจะสิ้นสุดอำนาจลง เพราะการเข้ายึดกรุงพนมเปญของเวียดนาม แต่กองกำลังที่ยังหลงเหลือได้ถอยร่นมาจัดตั้งฐานที่มั่นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และยังคงต่อสู้กับกองทัพเวียดนามและรัฐบาลกัมพูชาที่เวียดนามให้การสนับสนุนต่อไปอีกนับสิบปี ทำให้ชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นพื้นที่สู้รบ เกิดการปะทะที่ส่งผลกระทบต่อไทยอยู่เสมอ
กรณีความขัดแย้งทางการทูตไทย-กัมพูชา และการเผาสถานทูต
กรณีนี้เป็นวิกฤตความสัมพันธ์ที่เกิดจากกระแสชาตินิยมและความเข้าใจผิดระหว่างไทย-กัมพูชา มีที่มาจากบทความปลุกปั่นในหนังสือพิมพ์ภาษาเขมร เนื้อหาภายในบทความมีการอ้างว่านักแสดงหญิงชื่อดังของไทยได้ให้สัมภาษณ์ว่า “นครวัดเป็นของไทย และจะไม่มาประเทศกัมพูชาจนกว่าจะได้นครวัดคืน" ซึ่งบทสัมภาษณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่ก็ได้สร้างความเข้าใจผิดและความโกรธแค้นในหมู่ชาวกัมพูชาเป็นวงกว้าง ประกอบกับการที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์ในเชิงตำหนิและปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยม ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นบานปลายเป็นจลาจลรุนแรงในกรุงพนมเปญ กลุ่มผู้ประท้วงชาวกัมพูชาได้รวมตัวกันหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ มีการเผาธงชาติไทยและทำลายป้ายสถานทูต บุกปีนข้ามรั้วเข้าไปจุดไฟเผาอาคารสถานทูตฯ จนวอดเสียหายทั้งหลัง นอกจากนี้ความรุนแรงได้ขยายวงกว้างไปสู่ธุรกิจของคนไทยในกรุงพนมเปญ โรงแรมและร้านอาหารหลายแห่ง ถูกบุกเข้าทุบทำลายสร้างความเสียหาย ขโมยทรัพย์สินและสิ่งของมีค่า ท้ายที่สุดมีการปิดพรมแดนและอพยพคนไทยกลับสู่ประเทศ ขับเอกอัครราชทูตกัมพูชาออกจากประเทศไทย เกิดการเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหาย และจับกุมผู้ปล่อยข่าวปลอม
จากอดีตถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่ากรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง สะสมความไม่พอใจ ความเกลียดชัง ผ่านบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจึงเหมือนระเบิดเวลาที่รอการปะทุ และถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงในสถานการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้ ก็ได้แต่หวังว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะจบลงในเร็ววัน ไม่มีการยกระดับความรุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องมาคอยรับลูกหลง ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ติดตามบทความที่เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาท ไทย - กัมพูชา จากเครือ Thai PBS
- ช่องบก-ตาเมือน ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก
- รู้จัก “ศาลโลก” ข้อพิพาทแบบไหนที่ต้องพึ่งพา ?
- เทคนิค “การเจรจาต่อรอง” (Negotiation) การหาทางออกที่ win-win ทุกฝ่าย
- ชัยชนะ "เขาพระวิหาร" แรงบันดาลใจ กัมพูชายื่นคดีสู่ “ศาลโลก”
อ้างอิง
- ร.ศ.112 ฝรั่งเศสไม่ได้คิดยึดเมืองไทย แต่มุ่งจัดตั้งสหภาพอินโดจีน, ศิลปวัฒนธรรม