ระวัง ! “ไข้ปวดข้อยุงลาย” หรือ “ชิคุนกุนยา” (Chikungunya) โรคที่มียุงลายเป็นพาหะ กำลังระบาดในเมืองไทยช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด! ได้แก่ เชียงใหม่ บึงกาฬ เลย หนองคาย และลำพูน Thai PBS Sci & Tech จึงชวนรู้จัก เข้าใจ แล้วป้องกันตัวเองและคนที่รักให้ปลอดภัยจากชิคุนกุนยา
“ยุงลาย” พาหะ “โรคชิคุนกุนยา”
ยุงลายนอกจากเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกแล้ว ยังเป็นพาหะของ “โรคชิคุนกุนยา” (Chikungunya) หรือโรคไข้ปวดข้ออีกด้วย ซึ่ง 2 โรคนี้ มีอันตรายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับเด็ก อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและรุนแรง ต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย เช่น ตับ ไต และหัวใจได้
“โรคชิคุนกุนยา” ติดต่ออย่างไร
“ชิคุนกุนยา” เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในตระกูล Togaviridae โดยมียุงลายสวน (Aedes albopictus) และยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค ซึ่งพบได้ทั่วไปทั้งในเมืองใหญ่และชนบท มักระบาดในช่วงฤดูฝน หรือ บริเวณที่มีน้ำขัง ทั้งนี้ยุงลายมักชุกชุมและออกหากินช่วงกลางวัน ทำให้เด็ก ๆ ที่ชอบออกมาเล่นนอกบ้านหรืออยู่ในโรงเรียน เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรค นอกจากนี้แม่ตั้งครรภ์ที่เป็นโรคชิคุนกุนยายังสามารถถ่ายทอดไปยังทารกได้อีกด้วย
“โรคชิคุนกุนยา” อาการอย่างไรบ้าง
- มีไข้สูง
- มีผื่น
- ปวดกระดูกหรือข้อ
- ปวดศีรษะ
- ปวดกระบอกตา
นอกจากอาการเหล่านี้ คนไข้อาจมีอาการคันร่วมด้วย หรืออาจมีอาการตาแดง (conjunctival injection) แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว อาการในผู้ใหญ่ นอกจากปวดข้อรุนแรงแล้ว อาจมีอาการข้ออักเสบร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็ก ๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลาย ๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ โดยอาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี อาจพบจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้ แต่ยังไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อก
การวินิจฉัยโรคชิคุนกุนยา
แพทย์เริ่มต้นด้วยการซักประวัติและอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นแพทย์จะใช้การเจาะเลือดผู้ป่วยส่งห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันโรค และหาเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นการวินิจฉัยโรคชิคุนกุนยาที่ดีที่สุด โดยทราบผลเร็วภายใน 1 - 2 วัน หรือถ้านานอาจทราบใน 1 - 2 สัปดาห์
“โรคชิคุนกุนยา” รักษาได้หรือไม่?
โดยทั่วไปไม่มีการรักษาที่จำเพาะ ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เช่น การให้น้ำเกลือ และการดูแลรักษาตามอาการ (symptomatic treatment) เช่น ให้ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดข้อ และการพักผ่อน หรือหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ระบาด
เพราะไม่มีการรักษาจำเพาะ “การป้องกัน” จึงสำคัญ
เนื่องจากเป็นเชื้อที่มากับยุงลาย การป้องกันที่ดีที่สุด ก็คือ ป้องกันยุงลายไม่ให้กัด เช่น ทายากันยุง ติดตั้งอุปกรณ์กันยุง ไม่ไปอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง โดยทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาด ไม่มีกองขยะ ไม่มีส่วนที่มีน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงหลาย ๆ ชนิด เป็นต้น
เกร็ดน่ารู้ส่งท้าย : ความแตกต่างระหว่าง “โรคชิคุนกุนยา” กับ “โรคไข้เลือดออก”
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส “ชิคุนกุนยา” จะมีไข้สูงขึ้นอย่างเฉียบพลันกว่า “โรคไข้เลือดออก” และระยะเวลาของไข้สั้นกว่าประมาณ 2 วัน ในขณะที่ไข้เลือดออก ไข้จะลดลงในเวลาประมาณ 4 วัน และไวรัสชิคุนกุนยาไม่ทำให้พลาสมารั่วออกนอกเส้นเลือด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่เกิดอาการช็อก นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถมีผื่นแดงเป็นปื้นและตาแดงได้บ่อยกว่าไข้เลือดออก รวมถึงพบอาการปวดตามตัว ตามข้อได้มากกว่า
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : กองโรคติดต่อนำโดยแมลง, เพจรู้ทันโรคแมลง, โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech