เกาหลีถูกแบ่งแยกเป็นฝั่งเหนือและฝั่งใต้ด้วยเส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 จากการลงนามในข้อตกลงการสงบศึกเกาหลี (Korean Armistice Agreement) ระหว่างคิมอิลซุง อดีตผู้นำเกาหลีเหนือ และ นายพลนัมอิล อดีตผู้แทนกองทัพประชาชนเกาหลี (Korean People's Army : KPA) ของเกาหลีใต้ ในช่วงการสู้รบของสงครามเกาหลี มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.5 - 3 ล้านคน นับเป็นสงครามที่มีความสูญเสียมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ นอกจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นในสงครามเกาหลีแล้ว ชาวเกาหลีก็เคยถูกกดขี่จากจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เข้ามารุกรานอยู่เป็นเวลากว่า 45 ปี โดยความเจ็บปวดจากการสูญเสียหรือการถูกพลัดพรากของชาวเกาหลีนี้ จึงได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า “อารีรัง”
อารีรัง คือบทเพลงพื้นบ้านที่ขับร้องกันอย่างแพร่หลายโดยชาวเกาหลี ทั้งในประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยมีเนื้อหาเล่าถึงการจากลา การเดินทาง และการสูญเสียคนรัก ในปัจจุบันบทเพลงพื้นบ้านนี้ได้ถูกขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในปี ค.ศ. 2012 และต่อมาในปี ค.ศ. 2015 สำนักงานมรดกเกาหลี (The Korea Heritage Service) หรือชื่อเดิมคือสำนักงานบริหารมรดกทางวัฒนธรรม (The Cultural Heritage Administration) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเกาหลีใต้ ก็ได้เพิ่มบทเพลงพื้นบ้านนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ความหมายของชื่ออารีรังยังเป็นที่ถกเถียงกันในแวดวงวิชาการ เพราะในภาษาเกาหลีที่ใช้ในปัจจุบัน อารีรังเป็นคำสร้อยสำหรับร้องทำนอง ไม่มีความหมาย จึงมีหลายทฤษฎีที่พยายามหาที่มาที่ไปของชื่อนี้ และทฤษฎีที่ได้รับความนิยมที่สุดมีอยู่ 2 ทฤษฎี โดยทฤษฎีแรกสันนิษฐานจากรากศัพท์ภาษาเกาหลี ว่า ‘อารี’ แปลว่า สวยงามหรือคิดถึง ส่วน ‘รัง’ แปลว่า คนรัก แปลโดยรวมหมายถึง ‘ผู้เป็นที่รัก’ สอดคล้องกับเนื้อหาของอารีรังที่พูดถึงความคิดถึงและการต้องพลัดพรากจากคนรัก
ทฤษฎีถัดมาได้กล่าวไว้ว่าอารีรังเป็นชื่อเรียกของช่องเขา จึงถูกใช้เรียกเพลงที่มีบทพรรณนาถึงการเดินทางผ่านช่องเขา ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่าอารีรังเป็นชื่อเรียกของช่องเขาที่ใช้สัญจรเป็นหลักในสมัยราชวงศ์โชซอน ถึงจะมีหลากหลายทฤษฎีที่เกี่ยวกับที่มาของอารีรัง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอธิบายไปในทางที่ตีความได้ว่า อารีรัง สื่อถึงความเจ็บปวดในชีวิตของคนเกาหลี ที่ต้องเดินทางจากคนรักและครอบครัว

แม้ว่าเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะถูกแบ่งแยกกันด้วยสงครามและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่อารีรังก็ยังคงเป็นวัฒนธรรมร่วมของชาวเกาหลีที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีจากทั้งสองประเทศ ในเกาหลีใต้ นอกจากจะอนุรักษ์อารีรังด้วยการยกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้แล้ว ยังมีการจัดตั้งสถาบันและพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์อารีรัง เพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่บทเพลงที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ
ในฝั่งของประเทศเกาหลีเหนือเอง ก็มีการอนุรักษ์และเผยแพร่เพลงพื้นบ้านอารีรังเช่นกัน ผ่านเทศกาลอารีรัง (Arirang Mass Game) มหกรรมการแสดงที่จัดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงกันยายนของทุกปี โดยเทศกาลนี้เป็นการแสดงเต้นและยิมนาสติก เพื่อเชิดชูสรรเสริญผู้นำประเทศและบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเกาหลีเหนือที่เต็มไปด้วยความสูญเสียจากสงคราม และการกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งด้วยบทเพลงอารีรัง ซึ่งมีเนื้อหาที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดที่ชาวเกาหลีเหนือมีร่วมกันได้เป็นอย่างดี
แม้ในปัจจุบันแผ่นดินเกาหลียังคงถูกแบ่งออกเป็นฝั่งเหนือและใต้ ด้วยความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ทางการเมือง และบาดแผลความรุนแรงจากสงคราม แต่บทเพลงพื้นบ้านอารีรังยังคงสะท้อนร่องรอยสายสัมพันธ์ระหว่างชาวเกาหลีเหนือและใต้ จากประวัติศาสตร์สงครามเกาหลีที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกันให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เขียนโดย: เบญญาภา โลกะธรรมะ - นักศึกษาฝึกงาน Thai PBS Podcast
ติดตามรับฟังเรื่องอารีรังฉบับเต็มในรายการ “Spirit Along The Way” : จากสงครามสู่อารีรัง การแสดงสุดยิ่งใหญ่ของเกาหลีเหนือ ทาง Thai PBS Podcast ได้ที่:
🎧 Website | thaip.bs/rBOuplc
▶ YouTube | thaip.bs/1XZuiHj
🎧 Spotify | thaip.bs/vE7DE6B
🎧 Apple Podcast | thaip.bs/S4aXBUF