ความเป็นมาของไอศกรีมข้าวไทย
การทำไอศกรีมจากข้าวไทยเป็นแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นจากการต้องการใช้วัตถุดิบในประเทศ โดยเฉพาะข้าวไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แทนที่จะทำไอศกรีมแบบเดิมที่ใส่กลิ่นและสีสังเคราะห์ตามปกติ
เมื่อไปออกตลาดกรีนจะพบว่ามีสินค้าเกษตรมากมายที่น่าจะนำมาแปรรูป โดยเฉพาะข้าวไทยที่มีให้เลือกหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวดำ และข้าวหมาก
รสชาติไอศกรีมข้าวไทยยอดนิยม
1. ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง
วัตถุดิบหลัก:
- มะม่วงน้ำดอกไม้ (หรือพันธุ์อื่นๆ ตามฤดูกาล) ครึ่งลูก
- น้ำตาลขาว 100 กรัม
- หัวกะทิ 300 กรัม
- ข้าวเหนียวมูน 100 กรัม
- หางกะทิ 200 กรัม
- น้ำมันมะพร้าว 40 กรัม
วิธีทำ:
- หั่นมะม่วงเป็นชิ้นเล็ก คลุกกับน้ำตาล
- นำหัวกะทิไปตุ๋นจนร้อนประมาณ 80 องศาเซลเซียส (จนเริ่มมีไอขึ้น)
- ละลายน้ำตาลกับหัวกะทิที่อุ่นไว้
- เทส่วนผสมลงเครื่องปั่น ใส่น้ำมันมะพร้าว ปั่น 1 นาที
- ใส่ข้าวเหนียวมูน ปั่นเบาๆ เพื่อให้ได้เทกซ์เจอร์ของข้าว
- ใส่หางกะทิ คลุกให้เข้ากัน
- เทใส่พิมพ์ไอศกรีม แช่ช่องแช่แข็ง 8 ชั่วโมง
2. ไอศกรีมข้าวหมาก (Sorbet)
วัตถุดิบหลัก:
- ข้าวหมากขาว/ดำ 400 กรัม
- น้ำตาล 100 กรัม
- น้ำมันมะพร้าว 40 กรัม
- หัวกะทิ 100 กรัม
- น้ำมะนาว (ปรับรสตามชอบ)
- เกลือเล็กน้อย
วิธีทำ:
- ละลายน้ำตาลด้วยน้ำอุ่น
- เติมน้ำมันมะพร้าว ปั่นให้เข้ากัน 1 นาที
- ใส่หัวกะทิและข้าวหมาก ปั่นพอรวม
- ปรับรสด้วยน้ำมะนาวและเกลือ
- เทใส่พิมพ์ แช่ช่องแช่แข็ง 8 ชั่วโมง
ข้อดีของไอศกรีมข้าวไทย
เหมาะสำหรับผู้แพ้นม
ไอศกรีมข้าวไทยทั้งสองรสไม่มีนมเป็นส่วนผสม เป็น Non-dairy จึงเหมาะสำหรับเด็กที่แพ้นมและผู้ที่ทานอาหารเจ
ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ
- ไม่ใส่กลิ่นสังเคราะห์
- ไม่ใส่สีสังเคราะห์
- กลิ่นหอมและรสชาติมาจากวัตถุดิบจริง
มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ข้าวหมากมีโพรไบโอติกส์ธรรมชาติ ซึ่งไม่ถูกทำลายโดยความร้อนเพราะใช้แค่น้ำอุ่นในการละลายน้ำตาล
เคล็ดลับการทำไอศกรีมข้าวไทยให้อร่อย
การเลือกวัตถุดิบ
- มะม่วง: เลือกที่เริ่มสุกแล้ว ปอกง่าย พันธุ์ที่แนะนำ ได้แก่ น้ำดอกไม้ อกกล่อง ทองดำ หนังกลางวัน ลิ้นงูเห่า
- กะทิ: ใช้กะทิสดจะให้รสชาติที่ดีกว่ากะทิกล่อง
- น้ำมันมะพร้าว: สกัดเย็นจะดีกว่า แต่ราคาแพงกว่า สกัดร้อนก็ใช้ได้
เทคนิคการทำ
- การปั่น: ปั่นแรงที่สุดเพื่อให้น้ำกับน้ำมันเป็นเนื้อเดียวกัน
- การใส่ข้าว: อย่าปั่นข้าวละเอียดมาก เพราะจะกลายเป็นแป้งข้าวทำให้แข็งเกินไป
- การแช่ไม้: แช่ไม้ไอศกรีมในน้ำก่อนใช้ เพื่อให้ติดกับเนื้อไอศกรีมได้ดี
สูตรสำหรับประกอบอาชีพ
สำหรับผู้ที่ต้องการนำไปขาย สามารถเพิ่มสารเสริมอาหารเพื่อความคงตัว:
สารเสริมที่แนะนำ
- สเตบิไลเซอร์: ช่วยไม่ให้น้ำกับน้ำมันแยกชั้น
- อีมัลซิไฟเออร์: ช่วยให้เนื้อสัมผัสดีขึ้น
- เด็กโตส: น้ำตาลชนิดหนึ่งที่หวานน้อยกว่าน้ำตาลทราย แต่ช่วยให้กัดง่ายขึ้น
การใช้: คลุกสารเสริมกับน้ำตาลให้ละลายก่อนนำไปปั่นกับส่วนผสมอื่น
การเก็บรักษาและอายุการเก็บ
- การเก็บ: เก็บในช่องแช่แข็งที่อุณหภูมิติดลบ 14-16 องศาเซลเซียส
- อายุการเก็บ: ประมาณ 1 เดือน
- การเสื่อมคุณภาพ: ไอศกรีมไม่เน่าเสีย แต่เนื้อสัมผัสจะแยกชั้นหรือแข็งเกินไป
ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมเกษตรกรไทย
การใช้ข้าวไทยและผลไม้ในประเทศช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตการเกษตร และสร้างรายได้ให้เกษตรกร
ลดการพึ่งพาการนำเข้า
ใช้วัตถุดิบในประเทศแทนการนำเข้าส่วนผสมสังเคราะห์จากต่างประเทศ
ความยั่งยืน
เป็นการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของไทยอย่างสร้างสรรค์
คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น
สูตรง่ายสำหรับทำที่บ้าน
เริ่มต้นด้วยสูตรข้าวเหนียวมะม่วงที่ไม่ใส่สารเสริม เพียงแต่เนื้อสัมผัสจะแข็งกว่าเล็กน้อย
การปรับแต่งรสชาติ
- เพิ่มความเปรี้ยว: ใส่มะนาว มะขาม หรือผลไม้เปรี้ยวอื่นๆ
- เปลี่ยนน้ำตาล: ใช้น้ำผึ้ง น้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลทางเลือกอื่น
- เพิ่มความหอม: ใช้กะทิคั้นสดแทนกะทิกล่อง
สรุป
ไอศกรีมจากข้าวไทยเป็นนวัตกรรมที่ง่าย สุขภาพดี และช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบไทย ทำได้ง่ายที่บ้าน เหมาะสำหรับทุกวัย และสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ การทำขนมหวานด้วยตนเองช่วยให้เราควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและปริมาณน้ำตาลได้ ซึ่งดีต่อสุขภาพมากกว่าการซื้อขนมสำเร็จรูป
การทำไอศกรีมข้าวไทยไม่เพียงแต่ได้ขนมหวานอร่อย แต่ยังเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาไทยและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรของเราอีกด้วย
ติดตามได้ในรายการกินอยู่คือ วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.30 - 17.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live