เคยสังเกตไหมว่าช่วงที่เครียดหนัก ๆ ผมเริ่มร่วงมากกว่าปกติ หรือพบเส้นผมสีขาวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยิ่งเห็นผมร่วงก็ยิ่งเครียดมากขึ้น จนไม่รู้ว่าอันไหนเกิดก่อนกันแน่ วันนี้เรามาไขปัญหานี้กันให้ชัดเจน พร้อมวิธีการดูแลที่ถูกต้อง
เมื่อคนเราเครียดมากขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งชื่อว่า นอร์เอพิเนฟริน ฮอร์โมนตัวนี้จะไปจับที่เซลล์สร้างเม็ดสีที่รากขนรากผม ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีถูกทำร้ายมากขึ้น ผลที่ตามมาคือเวลาผมขึ้นมาจะกลายเป็นผมขาวและผมหงอกได้ง่ายมากขึ้น นอกจากผมหงอกแล้ว ความเครียดยังส่งผลให้เกิดผมร่วงและผมบางด้วย ซึ่งทั้งสองปัญหานี้มักจะมาพร้อมกัน ยิ่งทำให้คนที่มีอาการรู้สึกกังวลและเครียดเพิ่มมากขึ้นไปอีก กลายเป็นวงจรที่วนไปเรื่อย ๆ
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ ในชีวิตประจำวันของคนเราผมจะร่วงได้อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ โดยปกติผมสามารถร่วงได้วันละหนึ่งร้อยเส้น และในวันที่สระผมจะสามารถร่วงได้เป็นสองเท่า คือวันละสองร้อยเส้น ดูเหมือนจะเยอะมาก แต่นี่คือภาวะปกติ อย่าเพิ่งกังวลหากเห็นผมร่วงในปริมาณนี้ แต่ต้องสังเกตเพิ่มเติมว่าที่หนังศีรษะมีเป็นหย่อมผมร่วงทั้งหย่อมเลยหรือไม่ หรือมีหนังศีรษะอักเสบหรือเปล่า ถ้ามีอาการเหล่านี้อาจต้องไปตรวจเพิ่มเติมว่าเป็นโรคอื่นได้บ้าง
สำหรับคนเอเชีย ผมจะเริ่มหงอกหรือเริ่มมีผมขาวประมาณอายุสามสิบปี ถ้าหากผมหงอกก่อนสามสิบปีอาจต้องสังเกตว่ามีการหงอกก่อนวัย ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดหรือสาเหตุอื่น ๆ แล้วจะแยกได้อย่างไรว่าผมหงอกจากความเครียดหรือหงอกตามวัย? ถึงแม้จะดูยากในการแยก แต่หากพบว่ามีความเครียดหนักๆ ในช่วงก่อนหน้าแล้วผมเริ่มหงอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็น่าจะเป็นผมหงอกที่เกิดจากความเครียด
ในทางการแพทย์ เรียกผมร่วงจากความเครียดว่า Telogen Effluvium ซึ่งเป็นผมร่วงระยะ Telogen ที่มากกว่าปกติ ลักษณะการร่วงของกลุ่มนี้จะร่วงทั่วศีรษะไม่มีแบบแผน ออกมาพร้อมกันทั้งหมด และเมื่อซักประวัติย้อนไปคนไข้กลุ่มนี้มักมีตัวกระตุ้นหนักๆ ก่อนหน้าสามเดือนก่อนที่ผมร่วง ตัวกระตุ้นเหล่านี้อาจเป็น การเปลี่ยนงาน ไม่สบาย มีปัญหาครอบครัว หรือเจ็บป่วยหนักๆ ในช่วงสามเดือนก่อนหน้าที่ผมร่วง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่สะท้อนภาวะของร่างกายเราว่ากำลังมีปัญหาอยู่
เพราะความเครียดไปเปลี่ยนวงจรของระยะเส้นผมที่หนังศีรษะ ตัวระยะที่พร้อมจะหลุดร่วงในคนปกติจะร่วงได้ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่พอเกิดความเครียดมากขึ้น วงจรจะกลับไปทำให้ผมที่พร้อมร่วงเยอะมากกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ ทำให้หลุดออกมามากกว่าปกติ
ไม่ต้องตกใจหรือรู้สึกว่าอันตรายมากเกินไป เพราะต้องยอมรับว่าถ้าเราหาสาเหตุเจอแล้วปรับในแง่ของความเครียด หรือในบางคนที่มีโรคอื่นๆ ถ้าแก้สาเหตุได้แล้ว สุดท้ายเส้นผมก็จะกลับมาอยู่ในวงจรปกติได้ นี่คือภาวะชั่วคราว ไม่ใช่เป็นภาวะที่ต่อเนื่องแบบผมร่วงผมบางแบบพันธุกรรม หลังจากที่เราแก้สาเหตุได้แล้ว ในช่วงประมาณสามถึงหกเดือนผมก็จะกลับมาขึ้นมาได้เหมือนเดิม
สิ่งที่หลายคนอาจผิดหวังคือ ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาวิธีไหนที่สามารถทำให้ผมหงอกกลับมาเป็นผมดำได้เหมือนเดิม แต่เราจะเน้นในแง่ของการป้องกันมากกว่า ยังไม่มีวิจัยหรืองานชนิดไหนที่รองรับในแง่ของการทำให้ผมหงอกกลับมาเป็นผมดำได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือเน้นป้องกันและชะลอ
ขั้นตอนแรกคือลดความเครียดก่อน อาจหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย เล่นโยคะ หรืองานอดิเรกต่าง ๆ ถ้ามีปัญหาเยอะจริง ๆ อาจต้องเข้าพบแพทย์ เพราะจะมีหลายรายที่มีปัญหาอื่นด้วย เช่น โรคทางพันธุกรรม หรือการขาดสารอาหารที่ทำให้เส้นผมมีสีขาวมากขึ้น
ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้วิธีการซักประวัติตรวจร่างกาย และอาจต้องเจาะเลือดพื้นฐาน ถ้าเราดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงโดยรวมแล้ว สุขภาพผมเราก็จะดีด้วย
ไบโอตินที่เขาบอกว่ากินแล้วจะทำให้เล็บแข็งแรงผมแข็งแรง มีหลักฐานทางวิชาการว่าสามารถช่วยได้จริง แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าเส้นผมเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีการสร้างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงมีการใช้พลังงานและสารอาหารตลอด หลักการจริง ๆ คือทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ส่วนวิตามินเสริมจะเป็นตัวที่ทำให้สารอาหารอยู่ในระดับที่เพียงพอมากขึ้น แร่ธาตุที่สำคัญได้แก่ สังกะสี ทองแดง (คอปเปอร์ ซิงค์) ซึ่งเป็นตัวหลักในการทำให้เกิดเส้นผมขึ้นมา ถัดมาคือพวกวิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แต่ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ก่อน เพราะถ้าไปซื้อกินเองแล้วเราไม่ได้ขาด ก็ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
หลายคนที่มีปัญหาผมหงอก วิธีการแก้ปัญหาปัจจุบันคือการย้อมผมให้กลับมาเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ถ้าเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่แรงเกินไปและไม่ทำให้หนังศีรษะมีปัญหา ก็สามารถใช้ได้ ปัญหาจะเกิดขึ้นในบางรายที่ทำสีผมเป็นประจำทุกเดือนจนทำให้หนังศีรษะมีปัญหาหรือลอก ซึ่งจะเกิดผมร่วงจากหนังศีรษะลอกหรือหนังศีรษะอักเสบได้อีก กลายเป็นมีอาการร่วมกันเพิ่มขึ้น
ถ้าปรับความเครียดแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ ในการแพทย์ทุกอย่างต้องเริ่มจากการซักประวัติตรวจร่างกาย อาจต้องหาโรคประจำตัวอื่น ๆ ซักประวัติเรื่องยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ และต้องมาเจาะเลือดดูค่าบางอย่างที่พบบ่อยในคนที่ผมร่วง ต้องร่วมกับโภชนาการเหมือนผมหงอก เช่น ในคนผู้หญิงที่ผมร่วงมาก ๆ มักขาดวิตามินดี หรือขาดธาตุเหล็ก หรือในบางครั้งเป็นเรื่องของไทรอยด์ที่ผิดปกติ ซึ่งต้องมีการซักประวัติ เจาะเลือด และตรวจร่างกายก่อน
ต้องแบ่งเป็นสองกลุ่มโรคคือ ผมร่วงและผมบาง
ผมร่วงต้องซักประวัติดูว่าในช่วงสามเดือนก่อนหน้ามีอะไรกระตุ้นหนักๆ หรือไม่ มีปัญหาภายในขาดฮอร์โมน มีความไม่สมดุลของฮอร์โมน หรือมีวิตามินแร่ธาตุตัวไหนผิดปกติ
ส่วนผมบางในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเรียกว่าเป็นผมบางทางพันธุกรรม ในผู้ชายมักจะบางเว้าเข้าไปเป็นรูปตัวเอ็มหรือเป็นวงไข่ดาวตรงกลาง ส่วนในผู้หญิงมักจะเว้าเข้าไปเป็นแนวสามเหลี่ยม
ในกลุ่มผมบางทางพันธุกรรม ปัจจุบันมีวิธีรักษาหลักคือยาลดฮอร์โมนและยากระตุ้นเส้นผม นี่คือการรักษาหลัก ส่วนวิธีการรักษาอื่นจะเป็นการรักษาเสริมเท่านั้น
ข้อเตือนสำคัญ คือ ถ้าใครอยากจะไปรักษาวิธีไหนก็ตาม สุดท้ายอาจต้องมีการรักษาหลักด้วย ไม่อย่างนั้นการรักษาอาจได้ผลไม่ดี
ใครที่มีปัญหาอย่าปล่อยทิ้งไว้ หาสาเหตุที่ชัดเจนเพื่อที่จะรักษาอย่างถูกต้อง เพราะผมร่วงจากความเครียดสามารถกลับมาได้ แต่ผมหงอกจะกลับมาดำไม่ได้ การป้องกันจึงสำคัญที่สุด ลดความเครียด ดูแลโภชนาการ เสริมวิตามินอย่างเหมาะสม และไปพบแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ จะช่วยให้เส้นผมของเราแข็งแรงและอยู่กับเราไปนาน ๆ
ชมย้อนหลังรายการคนสู้โรคได้ที่ www.thaipbs.or.th/KonSuRoak
รู้สู้โรค
รู้สู้โรค : ความเครียดส่งผลให้ ผมร่วง ผมบาง ผมหงอก
รู้สู้โรค : การดูแลอุปกรณ์ในช่องปาก อุดฟัน ครอบฟัน รากฟันเทียม
รู้สู้โรค : ไขมันเกาะอวัยวะใดบ้างและอันตรายอย่างไร
รู้สู้โรค : ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ภัยเงียบในผู้สูงวัย
รู้สู้โรค : งานได้ ใจดี มีความสุข สุขภาพจิตในที่ทำงาน
รู้สู้โรค : การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง
รู้สู้โรค : การตรวจสอบหมอจริงหมอปลอม
รู้สู้โรค : ภาวะมวลกล้ามเนื้อถดถอย(Sarcopenia)ในผู้สูงอายุ
รู้สู้โรค : นวัตกรรมเลนส์แก้วตาเทียม
รู้สู้โรค : หายใจดี ชีวิตดี
รู้สู้โรค : ป้องกันกระดูกหักซ้ำ ในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
รู้สู้โรค : ผู้สูงวัยไม่กลัวล้ม
รู้สู้โรค : นวัตกรรมการสร้างดวงตาปลอมด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
รู้สู้โรค : โรคเบาหวานระยะสงบ
รู้สู้โรค : บ้านหมุน เมาธรณี อาการเวียนศีรษะที่ห้ามชะล่าใจ
รู้สู้โรค : หลีกหนีภาวะสมองเสื่อม
รู้สู้โรค : ความเครียด ภัยเงียบกระตุ้นโรคเบาหวาน
รู้สู้โรค : ดื่มน้ำอย่างไรไม่ให้สุขภาพพัง
รู้สู้โรค : การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมด้วยหุ่นยนต์
รู้สู้โรค : ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่ถูกมองข้าม
รู้สู้โรค : ปัญหาสุขภาพเท้า
รู้สู้โรค : ไอสู้โรคและบริหารปอด
รู้สู้โรค : เดินดี เพราะกล้ามเนื้อไม่ฝ่อ
รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน
รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น
รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม
รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ
รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด
รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก
รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน
รู้สู้โรค
รู้สู้โรค : ความเครียดส่งผลให้ ผมร่วง ผมบาง ผมหงอก
รู้สู้โรค : การดูแลอุปกรณ์ในช่องปาก อุดฟัน ครอบฟัน รากฟันเทียม
รู้สู้โรค : ไขมันเกาะอวัยวะใดบ้างและอันตรายอย่างไร
รู้สู้โรค : ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ภัยเงียบในผู้สูงวัย
รู้สู้โรค : งานได้ ใจดี มีความสุข สุขภาพจิตในที่ทำงาน
รู้สู้โรค : การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง
รู้สู้โรค : การตรวจสอบหมอจริงหมอปลอม
รู้สู้โรค : ภาวะมวลกล้ามเนื้อถดถอย(Sarcopenia)ในผู้สูงอายุ
รู้สู้โรค : นวัตกรรมเลนส์แก้วตาเทียม
รู้สู้โรค : หายใจดี ชีวิตดี
รู้สู้โรค : ป้องกันกระดูกหักซ้ำ ในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
รู้สู้โรค : ผู้สูงวัยไม่กลัวล้ม
รู้สู้โรค : นวัตกรรมการสร้างดวงตาปลอมด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
รู้สู้โรค : โรคเบาหวานระยะสงบ
รู้สู้โรค : บ้านหมุน เมาธรณี อาการเวียนศีรษะที่ห้ามชะล่าใจ
รู้สู้โรค : หลีกหนีภาวะสมองเสื่อม
รู้สู้โรค : ความเครียด ภัยเงียบกระตุ้นโรคเบาหวาน
รู้สู้โรค : ดื่มน้ำอย่างไรไม่ให้สุขภาพพัง
รู้สู้โรค : การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมด้วยหุ่นยนต์
รู้สู้โรค : ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่ถูกมองข้าม
รู้สู้โรค : ปัญหาสุขภาพเท้า
รู้สู้โรค : ไอสู้โรคและบริหารปอด
รู้สู้โรค : เดินดี เพราะกล้ามเนื้อไม่ฝ่อ
รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน
รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น
รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม
รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ
รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด
รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก
รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน