EN

แชร์

Copied!

นักวารสารศาสตร์ – สื่อ สะท้อน แม้ “AI” จะเปลี่ยนวงการข่าว แต่ “จริยธรรม” คือสิ่งที่เทคโนโลยีทดแทนไม่ได้

7 มิ.ย. 6810:00 น.
1
นักวารสารศาสตร์ – สื่อ สะท้อน แม้ “AI” จะเปลี่ยนวงการข่าว แต่ “จริยธรรม” คือสิ่งที่เทคโนโลยีทดแทนไม่ได้
แม้เทคโนโลยีจะช่วยให้การทำข่าวสะดวกขึ้น แต่นักวิชาการและสื่อมวลชนยังคงพบว่า “จริยธรรม” และ “การตรวจสอบ” ยังคงต้องอาศัยมนุษย์เป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อ AI อาจให้ข้อมูลผิดหรือขัดต่อหลักจรรยาบรรณ

คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ The Asian American Journalists Association (AAJA-Asia) ร่วมประชุม New.Now.Next Media Conference (N3Con) ครั้งที่ 15 ซึ่งเป็นการประชุมที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวสารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มาแลกเปลี่ยนมุมมองของอุตสาหกรรมข่าวสารยุคใหม่ และพูดคุยถึงผลกระทบของ Generative AI ต่อการผลิตและเผยแพร่ข่าว รวมถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสื่อในยุคปัจจุบัน

การศึกษายุคใหม่ที่ทุกรุ่นอายุต้องรู้เท่าทัน AI

รองศาสตราจารย์ ดร. อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความคิดเห็นถึงการศึกษาในยุค Generative AI โดยเฉพาะสาขาวารสารศาสตร์ในปัจจุบันว่า ถือว่าเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในยุคการสื่อสารการเรียนรู้ในปัจจุบัน ที่ต้องพึ่งพาปัญญาประดิษฐ์ค่อนข้างเยอะ ซึ่งตนเองคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้ไปพร้อมกับ AI เพราะเป็นสื่อเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและวิธีการหาความรู้ จากเดิมที่จะต้องเข้าไปห้องสมุดเพื่อทำรายงาน หรือผ่านกระบวนการต่าง ๆ แต่ปัจจุบันสามารถที่จะผลิตข้อมูลเหล่านั้นผ่าน AI ได้ทันที แต่คำถามคือกระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจาก 1, 2, 3, 4 และปัจจุบันสามารถที่จะจบกระบวนการที่ 4 ได้ในทันทีนั้น เราจะสามารถนำนิสิตหรือบุคคลทั่วไป กลับไปที่กระบวนการ 1, 2, 3 ได้หรือไม่ เช่น ข้อมูลมาจากไหน ใครเป็นผู้คิดค้นข้อมูล กระบวนการสังเคราะห์วิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างไร และเมื่อจบกระบวนการที่ 4 แล้ว เราจะสามารถสร้างข้อมูลเพิ่มเติม หรือต่อยอดข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างไร ซึ่งถือเป็นความท้าทายของทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนหรือรุ่นใด ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ให้เท่าทันกับปัญญาประดิษฐ์

รองศาสตราจารย์ ดร. อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มนุษย์ยังสำคัญในกระบวนการตรวจสอบสุดท้าย

กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล Thai PBS ระบุว่า Thai PBS ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ใช้ AI เข้ามาช่วยในกระบวนการทำงาน ซึ่งปัจจุบันมีการใช้งานอยู่ใน 2 ประเภท คือ ระดับผู้ปฏิบัติงานทั่วไปและระดับของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้จัดการ ซึ่งในส่วนของผู้ปฏิบัติงานนั้น การใช้งานมักจะไม่ยากเท่าใดนัก เพราะสามารถที่จะใช้ได้ฟรี แต่สำหรับ Thai PBS เองก็มีบัญชีที่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มาก ซึ่งจะต้องได้รับการยืนยันในระดับหนึ่งว่า จำเป็นต้องใช้ โดยสำหรับการใช้ AI ใน Content Service นั้น ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในรูปแบบของ AI Voice ในหน้าเว็บไซต์ข่าว ซึ่งในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ยอมรับว่า AI พัฒนามากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้ Gemini ในด้านสรุปข่าว ในบริการที่ชื่อว่า News In Brief รวมถึงการทำ AI Vertical LIVE ซึ่งเป็นการทำวิดีโอแนวนอนให้เป็นแนวตั้ง สำหรับบริการบน Mobile เป็นหลัก โดยยังมีบริการอีกหลายอย่างที่จะตามมาในอนาคต ทั้งในเรื่องของ Big Sign Language ภาษามือในแนวตั้ง ที่พยายามใช้ AI เข้ามาช่วย ซึ่งกลุ่มหลังเป็นกลุ่มที่ยาก เพราะคนใช้ทั่วไป แต่การ Apply ไม่ได้ใช้เพื่อส่วนตัว แต่เป็นสินค้าหรือ Content Video หรือ ภาพ ที่จะต้องถูกนำมาปรับเปลี่ยนเป็นแบรนด์ขององค์กรให้ได้ ซึ่งต้องใช้เรื่องของการตรวจสอบที่เพิ่มมากขึ้น เพราะสำหรับการใช้ AI ช่วยในการสรุปการประชุม แม้จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีมนุษย์ตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานข่าว ที่จะต้องมีการเช็กหลายอย่าง ก่อนที่จะมีการเผยแพร่ไปสู่หน้าเว็บไซต์ ซึ่งจะต้องมีการระมัดระวัง และการตรวจสอบที่จะต้องยกระดับมากขึ้น เพราะการเผยแพร่เมื่อออกไปแล้ว จะเป็นการเผยแพร่ในนามแบรนด์

กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล Thai PBS

สำหรับการใช้งาน AI ในด้านข่าวนั้น ต้องไม่ลืมว่า AI คือการค้นหาข้อมูลจาก History หรือ Digital Footprint ต่าง ๆ ซึ่งการทำงานถือว่าตรงกันข้ามกันกับข่าว เพราะข่าวจะต้องทำงานกับสถานการณ์ปัจจุบัน ยกเว้นว่าเป็นสกู๊ปที่จะต้องค้นหาข้อมูลเก่า ๆ ซึ่ง AI ก็อาจจะมาเป็นส่วนช่วยในจุดนี้ ดังนั้นการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการ Generate Content หรือในการวิเคราะห์ออกมาเป็นเนื้อหาเลยนั้น ก็ยังคงจะต้องมีจริยธรรมและจรรยาบรรณที่เข้มข้นกว่า

นอกจากนี้ก่อนที่จะมีการเผยแพร่ข่าวหรือบทความใดออกมาก็ตาม ก็จะต้องมีการทบทวน โดยสิ่งที่จะออกมาได้เร็วคือ การทำนวัตกรรม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ปรับปรุงกระบวนการ โดยกระบวนการที่เห็นได้ชัดในขณะนี้ คือเรื่องของฮาร์ดแวร์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ในกองบก. จะมีระบบเขียนข่าว โดยเครื่องมือเหล่านี้มีตั้งแต่สมัยเป็นทีวี ซึ่งหากจะเปลี่ยนกระบวนการทำงานเหล่านั้น ทุกผลิตภัณฑ์ที่เข้ามานำเสนอ จะมี AI ทั้งหมด แต่ปัญหาคือการเปลี่ยนระบบลักษณะนี้ในกระบวนการทำงานต้องใช้งบประมาณ ใช้เวลาในการทดสอบ

ขณะที่ปัจจุบันมีการใช้ AI ในการเข้ามากำหนดตั้งแต่การพาดหัวที่จะต้องมี AI ช่วยในการปรับปรุงให้สามารถติด SEO ซึ่งช่วยนักข่าวในการพาดหัวข่าวให้ดีขึ้น สามารถที่จะโชว์ Trending ได้ว่าขณะนี้ประชาชนกำลังสนใจคีย์เวิร์ดอะไร หรือแม้กระทั่งการ Tag ได้ว่า วิดีโอข้างในมีบุคคลอยู่กี่ชื่อ และ Generate Keyword ให้อัตโนมัติว่า คนในวิดีโอคือใคร ไม่ต้องมานั่งพิมพ์ Manual ซึ่งการตรวจสอบกระบวนการเหล่านี้ มีในเรื่องของงบประมาณและเวลา โดยกระบวนการของกองบรรณาธิการ ไม่ว่าจะทีวีที่ใช้ในการเขียนข่าว หรือการลงเสียง ในการแปลทุกอย่างนี้จะต้องใช้เครื่องมือ ซึ่งเครื่องมือเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ง่าย แต่สิ่งสำคัญคือการอัปสกิลและรีสกิลของผู้ใช้งาน ที่จะต้องพัฒนาให้เท่าทันด้วยเช่นกัน เพราะไม่ใช่นักข่าวทุกคนจะมีสกิลในการใช้ AI เท่ากัน

ข้อมูลจาก AI เสรีจริงหรือไม่

คาลิล พิศสุวรรณ บรรณาธิการบริหารไทยรัฐพลัส ให้ความคิดเห็นกรณีการใช้ AI ในการผลิตสื่อออนไลน์ว่า เทคโนโลยีเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันสามารถผลิตงานศิลปะ หรืออะไรก็ตามแต่ในจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนได้ ซึ่ง AI ก็ไม่ต่างจากเครื่องมือทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปากกา หรือดินสอ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดมาแล้วช่วยทุ่นแรงบางอย่างให้กับมนุษย์ได้ ซึ่งสิ่งที่ตนคิดว่า AI มีความแตกต่าง และเป็นสิ่งที่ผมให้ความสงสัยก็คือ AI ยังคงมี Political Agenda หรือวาระทางการเมืองซ่อนอยู่ สิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ AI มันมีทุน มันมีสิ่งที่โตกว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งแตกต่างจากดินสอหรือปากกา ซึ่ง Agenda ดังกล่าวอยู่ที่เราอยู่ฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา เพราะฉะนั้นเมื่อผมใช้ Tool นี้ออกไป Agenda ที่มันส่งไปมาจากผม แต่เมื่อมันมาจาก AI เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ได้มาจาก Bias หรือ Agenda ที่แอบซ่อนอยู่

สำหรับเคสตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ AI ที่สร้างจากประเทศจีน ที่เมื่อถูกถามถึง การสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมิน กลับไม่สามารถที่จะตอบข้อมูลดังกล่าวมาได้ ซึ่งเคสดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า AI มี Bias มีอะไรที่ลึกกว่าสิ่งที่เราเห็น ไม่ว่าเราจะเอาจะมีคำสั่ง Promt ที่ดีมากแค่ไหน แต่การใช้มันโดยที่เราไม่มีการอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูล จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็น AI จากฝั่งของสหรัฐฯ หรือจากจีน ทุกอย่างมีทุนหมด ดังนั้นเมื่อมีทุนจึงไม่มีทางเลือกที่จะถูกครอบงำได้

คาลิล พิศสุวรรณ บรรณาธิการบริหารไทยรัฐพลัส

มองทุกคนต้องใช้ AI ด้วยสติและจริยธรรม

ขณะที่ ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาและอดีตประธานสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ให้ความคิดเห็นว่า อุตสาหกรรมสื่อถือว่าเปลี่ยนแปลงทุก 3 เดือน และการจะนำความรู้ปัจจุบัน ไปถ่ายทอดให้นักศึกษาในอีก 3 เดือนข้างหน้า ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เก่าไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันแม้ตนเองถือว่าเกษียณจากวงการสื่อ แต่ก็พยายามศึกษาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้พบว่า 24 ปี ที่ผ่านมา เทคโนโลยีไม่มีวันหยุด แต่มีลักษณะเหมือนกับคลื่นที่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสื่อ นักวารสารศาสตร์ หรือคนทั่วไป ล้วนต่างมีหน้าที่ในการโต้คลื่น และอย่าคิดว่าคลื่นเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะทำร้ายเรา เพราะพิสูจน์แล้วว่าตั้งแต่ Internet เกิดขึ้นและถูกนำเข้ามาใช้งาน Internet ถือว่ามีสิ่งที่ทำได้ทั้งประโยชน์และโทษ เช่นเดียวกับ AI ที่เข้ามาในปัจจุบัน ถ้าถูกใช้อย่างมีสติและคุณธรรม ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์

ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาและอดีตประธานสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)

อย่างไรก็ตามชุดความรู้ที่ AI บอกเรานั้น อาจจะมีทั้งผิดและถูก ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจจะถูกบนข้อเท็จจริง แต่อาจจะส่งผลกระทบได้ด้วยเช่นกัน เมื่อมีการเผยแพร่ที่เป็นการขัดกับความเชื่อบางอย่างของคน เช่น AI จะพิสูจน์ให้ทราบว่าบั้งไฟพญานาคที่ทำกัน พญานาคไม่มีจริง แต่หากนำคำเหล่านี้ไปเผยแพร่ในพื้นที่ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคอย่างสุดใจ ว่าพญานาคไม่มีจริง ก็อาจจะสร้างความขัดแย้งต่อความเชื่อของคนในพื้นที่ขึ้นมาอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นการหยิบไปใช้จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่สติและ Ethic Literacy หรือความรู้ด้านจริยธรรม ซึ่งการสอนให้ทุกคนมีความรู้ด้านจริยธรรมเท่ากันถือเป็นเรื่องใหญ่ และสำหรับตนจะไม่โฟกัสเรื่องของเทคโนโลยีเลย เพราะต่อให้เทคโนโลยีเปลี่ยนไปมากกว่านี้อีกกี่ปี แต่ Ethic Literacy จะต้องไม่เปลี่ยน