
ตัวแทนฝ่ายไทย-กัมพูชา ถ่ายภาพร่วมกันหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ
แม้ข้อตกลงหยุดยิงตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ของสองฝ่ายจะตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 68 แต่ในโลกออนไลน์กลับยังคงเต็มไปด้วย “ข่าวลวง” หรือ Fake News ที่ยังคงตอบโต้กันไปมาจากผู้คนทั้งสองฝ่ายไม่หยุด
ข้อมูลเท็จต่าง ๆ ออกมาทั้งในรูปแบบข้อความ ภาพ และคลิปวิดีโอ ซึ่งพบได้จากทั้งสองฝ่าย และแม้จะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่ข่าวปลอมเหล่านี้กลับถูกแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากผู้ที่ตั้งใจปั่นกระแสเพื่อสร้างความเกลียดชัง และจากผู้ที่หลงเชื่อโดยไม่ได้ตรวจสอบ
สนามรบออนไลน์ความรุนแรงระยะยาว
ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารมวลชน รศ. ดร. วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ ระบุว่า ถึงแม้ข้อตกลงดังกล่าวจะระบุถึงการหยุดยิงจากทั้งสองฝ่าย แต่ความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย กลับปรับเปลี่ยนมาเป็นการต่อสู้กันในรูปแบบของข่าวสาร ที่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งการต่อสู้ในรูปแบบนี้ คือการต่อสู้เพื่อหาแนวร่วมเพื่อสร้างความชอบธรรม ซึ่งถือเป็นความรุนแรงที่มากกว่าเดิม และเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดผลกระทบในระยะยาว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการศึกษาของเยาวชนตามแนวชายแดน ซึ่งรวมถึงการขยายไปถึงการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ

รศ. ดร. วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์
ทั้งนี้มองว่า รัฐไม่ควรตอบโต้กับข่าวปลอมด้วยข่าวปลอม แต่สิ่งที่ภาครัฐควรจะต้องทำคือ รัฐบาลควรตั้งรับด้วยการจัดตั้งกองบัญชาการ หรือศูนย์เฉพาะกิจ ที่ทำหน้าที่ตอบโต้หรือหักล้างข่าวปลอม ซึ่งหน่วยนี้จะมีหน้าที่ที่ต้องรู้ว่า ควรจะพูดอะไร หรือไม่ควรจะพูดอะไร เพื่อตอบโต้ Fake News เหล่านั้นกลับไปด้วยข้อเท็จจริงทันที เมื่อพบข้อมูลที่อาจจะกระทบกับความรู้สึกของคนไทย
ดังนั้นสำหรับประชาชน สิ่งสำคัญคือการใช้วิจารณญาณ หยุดแชร์ข้อมูลที่ไม่ผ่านการยืนยัน และพึ่งพาแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้เราเผลอเป็นส่วนหนึ่งของการขยายวงสงครามที่รุนแรงไม่แพ้กันกับการสาดกระสุนใส่กันก่อนหน้านี้