ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนในฝันของทีมถ่ายทำภาพยนตร์และซีรีส์จากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฮอลลีวูดหรือสตรีมมิงยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix ด้วยฉากหลังที่สวยงาม ต้นทุนถูก และทีมงานมืออาชีพ
ล่าสุด กองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว รายงานตัวเลขสุดปังว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 การลงทุนถ่ายทำจากต่างชาติสร้างรายได้รวมกว่า 6,786 ล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงสุดต่อเนื่องหลายปีติดกัน สะท้อนศักยภาพของไทยในฐานะฮับถ่ายทำระดับโลก ที่ดึงดูดโปรเจกต์ดัง ๆ ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างหนึ่งที่สร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น
แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ มี "ผู้พิทักษ์ภาพลักษณ์" สำคัญอย่างคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ หรือ "ฟิล์มบอร์ด" ที่ต้องทำงานหนัก คัดกรองบทภาพยนตร์เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาบิดเบือนหรือทำลายชื่อเสียงชาติ โดยเฉพาะเทรนด์ใหม่ที่ทีมต่างชาติเริ่มหยิบ "เหตุการณ์จริง" ของไทยมาเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตหลัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดดรามา หรือความเข้าใจที่ผิดได้
มาดูกันว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นยังไง เริ่มจากทีมถ่ายทำต่างชาติที่อยากมาถ่ายในไทย ต้องมี "ผู้ประสานงานการถ่ายทำ" ซึ่งเป็นคนไทยหรือบริษัทที่จดทะเบียนกับกรมการท่องเที่ยวไว้ก่อน พี่เลี้ยงคนนี้คือตัวกลางสำคัญ รับผิดชอบยื่นเอกสารขออนุญาตให้ครบถ้วน
เอกสารหลัก ๆ ที่ต้องเตรียมก็คือ บทภาพยนตร์ฉบับเต็ม รายละเอียดคณะทำงานทั้งหมด รายชื่อนักแสดง กำหนดการถ่ายทำ และเอกสารอื่น ๆ ที่พิสูจน์ว่าทุกอย่างถูกกฎหมาย เมื่อยื่นครบ ฝ่ายเลขานุการของฟิล์มบอร์ด ซึ่งอยู่ที่กรมการท่องเที่ยว จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมทันที
คณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย ไม่ว่าจะด้านการต่างประเทศ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ศิลปะ หรือแม้แต่ผู้กำกับหนังไทยเอง จะไล่ตรวจเนื้อหาแบบละเอียดยิบ คำถามหลักคือ "เนื้อหานี้กระทบภาพลักษณ์ไทยไหม ?" หรือ "สมจริงกับบริบทไทยหรือไม่ ?" เช่น ถ้าบทมีฉากตำรวจนายกฯ รับสินบน โดยไม่สะท้อนความจริงว่าประเทศเรามีระบบปราบคอร์รัปชันเข้มงวด ก็อาจโดนติงให้แก้ไข
ฟิล์มบอร์ดไม่ได้เข้มงวดแบบไม่มีเหตุผล คณะกรรมการค่อนข้างยืดหยุ่นพอควร และพร้อมให้ข้อมูลช่วยทีมต่างชาติเข้าใจบริบทไทยให้ลึกซึ้งขึ้น เพราะหลายครั้งทีมต่างชาติอาจไม่รู้จริง เช่น กรณีบทที่วาดภาพศาลไทยเป็นแบบตะวันตก มีลูกขุนนั่งตัดสิน ซึ่งในความเป็นจริงไทยเราไม่มีระบบนั้น คณะกรรมการก็ขอให้ปรับเป็นห้องพิจารณาคดีแบบไทย ๆ ที่มีผู้พิพากษาเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ตัวบทมีการพรรณนาถึงฉากการถูกจับกุมตัวและเข้าคุก ซึ่งถูกมองว่า ไม่เหมาะสมและไม่สมจริง จึงต้องมีการปรับแก้เช่นกัน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการพิจารณาฉากที่อาจทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ คณะกรรมการอาจพิจารณาในภาพรวม และหากฉากใดที่ "การมีอยู่ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทย" ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้อรรถรสของภาพยนตร์เสียหายหากตัดทิ้งไป ก็จะขอให้คณะถ่ายทำยืนยันการตัดฉากนั้นออก
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
แต่กรณีที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาดมักเป็นเนื้อหาที่รุนแรงมากและเกี่ยวข้องกับประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรม ที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างชัดเจน
ถ้าตัดแล้วเรื่องยังสนุกอยู่ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าต้องตัดเยอะจนกระทบพล็อต ทีมถ่ายทำก็ต้องคิดหนัก ส่วนใหญ่พวกเขายอมปรับ เพราะไม่อยากเสียโอกาสมาถ่ายในไทย
สถิติบอกว่ากรณีไม่อนุญาตทั้งปีมีแค่ 1-2 เรื่อง จากทั้งหมด 600-700 โปรเจกต์ที่ยื่นมา แสดงว่าฟิล์มบอร์ดส่งเสริมการลงทุนเป็นหลัก แต่ป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อน
เทรนด์ใหม่ ใช้เหตุการณ์จริงเสี่ยงกระทบภาพลักษณ์
เทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง คือ ทีมต่างชาติไม่ใช้ไทยเป็นแค่ "ฉากหลังสวย ๆ" อีกต่อไป แต่เริ่มเอา "เรื่องจริงของเรา" มาปนในเนื้อเรื่อง เพื่อเพิ่มความสมจริงและดึงดูดผู้ชม เช่น ซีรีส์เรื่องดัง Typhoon Family ที่หยิบวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 มาทำเป็นแกนหลัก พวกเขาทำการบ้านดี รวบรวมข้อมูลละเอียด
แต่พอออกฉายก็เจอดรามา เพราะมีฉากตำรวจรับสินบนหรือภาพการจ่ายใต้โต๊ะที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติในยุคนั้น ชาวไทยที่เคยผ่านเหตุการณ์จริงรู้สึกว่ามันบิดเบือน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังวิกฤต ฟิล์มบอร์ดเคยสั่งแก้คำพูดและรายละเอียดในบทก่อนอนุญาต แต่พอซีรีส์ลง Netflix ทั่วโลก กลับเจอเวอร์ชันที่ไม่ตรงตามตกลง กลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้ต้องเร่งรับมือ
เพื่อป้องกันปัญหาแบบนี้ กรมการท่องเที่ยวเลยมีระบบ "ผู้กำกับดูแลการถ่ายทำ" ประจำกองถ่าย ซึ่งหมุนเวียนมาจากฟิล์มบอร์ด เจ้าหน้าที่กรม หรือแม้แต่ตำรวจ พวกเขาจะติดตามกองถ่ายทุกวัน ถ้าพบผู้กำกับแอบเปลี่ยนบทหน้างาน เช่น ฉากหน้าศาลที่ติดธงไทยแต่บอกว่าเป็นประเทศสมมติ หรือเพิ่มฉากเสี่ยงที่ไม่เคยตกลง ก็สั่งหยุดถ่ายทันที
แต่ถ้าปล่อยให้ออกฉายแล้วเกิดดรามาจริง ๆ หลังจากนั้น ฟิล์มบอร์ดจะเรียกผู้ประสานงานไทยมาชี้แจง รับข้อร้องเรียนจากโซเชียลหรือสื่อ แล้วพิจารณาลงโทษ เช่น แบนผู้ประสานงานห้ามรับงานใหม่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งถือว่ารุนแรงมาก เพราะรายได้หลักของพวกเขามาจากค่าดูแลทีมต่างชาติ สำหรับทีมถ่ายทำต่างชาติ การลงโทษซับซ้อนกว่า ต้องประสานกระทรวงการต่างประเทศไทย
การบริหารจัดการแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องหาสมดุลระหว่าง "ดึงดูดลงทุน" ที่สร้างงานให้คนไทยนับหมื่นคนต่อปี กับ "รักษาภาพลักษณ์" ที่สำคัญยิ่งกว่า ถ้าไทยกลายเป็น "ประเทศในหนังที่มืดมน" ผู้ชมทั่วโลกจะมองเรายังไง ? แต่ฟิล์มบอร์ดพิสูจน์แล้วว่าทำได้ โดยเน้นให้ข้อมูลถูกต้องตั้งแต่ต้น และทีมต่างชาติส่วนใหญ่ก็เห็นคุณค่าในกระบวนการนี้ เพราะช่วยให้ผลงานของพวกเขาสมจริงและเคารพวัฒนธรรมมากขึ้น
สุดท้าย ไทยยังคงเป็นจุดหมายท็อปของวงการ แต่ด้วยการคุมเข้มแบบนี้ เราจะได้ประโยชน์เต็ม ๆ โดยไม่เสียชื่อเสียงไปฟรี ๆ ในยุคที่แพลตฟอร์มออนไลน์ถล่มตลาดโลก
อ่านข่าวอื่น :
"มัมดานี" วัย 33 ปี ลั่น "หยุดทรัมป์" หลังนั่งนายกฯ นิวยอร์กที่อายุน้อยที่สุด
ฟิลิปปินส์เริ่มฟื้นฟูบ้านเรือน "คัลแมกี" ถล่มยอดผู้เสียชีวิตพุ่ง 66 คน











